ซอกจิน
10 OCT 2009
“ไปกันเถอะ, เราต้องหนีแล้ว” ผมคว้าที่มือของเพื่อน แล้วมุ่งหน้าไปยังประตูที่ด้านหลังห้องเรียน พวกผมวิ่งเลาะไปตามทางเดิน แต่เมื่อมองหันหลังกลับไปผมก็พบว่าพวกผู้ใหญ่กำลังวิ่งหน้าตั้งออกมาจากประตูด้านหลังห้อง… “หยุดเดี๋ยวนี้นะ! ฉันจับแกได้เมื่อไร แกโดนดีแน่!” พวกผู้ใหญ่วิ่งไล่ตามหลังมา พยายามที่จะคว้าเอาต้นคอของพวกผม
ระหว่างที่วิ่งพรวดพราดลงบันไดก็ต้องคิดไปด้วยว่าจะไปที่ไหนดี และจุดที่ผุดขึ้นมาแรกสุดเลยก็คือภูเขาด้านหลังโรงเรียน พวกผมวิ่งตัดผ่านสนามออกกำลังกาย ขอเพียงแค่พวกผมผ่านประตูใหญ่ไปได้เท่านั้น ก็จะสามารถขึ้นไปบนภูเขาได้ ภูเขาเป็นภูเขาที่ไม่ได้สูงอะไรมากมาย หากแต่เต็มไปด้วยกรวดหิน ทรมานพอตัว… แต่พวกผมก็วิ่งไปไม่ถึงถนนด้วยซ้ำ เพราะหลังจากที่พ้นออกมาจากประตูใหญ่ พวกผมก็เลี้ยวเข้ามุม แล้วกระโจนเข้าไปในพงหญ้า วิ่งแหวกเหล่าแมกไม้ นี่พวกผมวิ่งกันมานานเท่าไรแล้วนะ… ตอนนี้พวกผมไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าแล้ว และในที่สุด พวกผมก็หยุดวิ่ง
พวกผมทรุดตัวนั่งลงบนพื้นที่มีใบไม้ปกคลุม เหงื่อไหลหยดย้อนลงมาตามคาง “เหมือนว่าจะไม่ตามมาแล้วนะ” เพื่อนพยักหน้าพลางหายใจหอบถี่ เขายกปลายแขนเสื้อยืดขึ้นมาปาดเหงื่อ บนใบหน้าของเพื่อนนั้นเปื้อนไปด้วยหยาดเหงื่อและคราบน้ำตา ที่ข้อมือก็มีรอยช้ำสีม่วง แถมบริเวณคอเสื้อก็ขาดวิ่น
“ปะป๊าจะไม่กลับมาบ้านประมาณ 1 สัปดาห์ มะม๊าก็เอาแต่ร้องไห้ ทั้งคนรับใช้ ทั้งคนขับรถก็ไม่กลับมาแล้ว น้าพูดไว้ว่างั้นนะ เห็นว่าปะป๊าน่ะปิดบริษัท เจ้าพวกคนตะกี้มาที่บ้านฉันตั้งแต่เมื่อวานตอนเย็นแล้ว เขากดอินเตอร์โฟนหน้าบ้านแล้วก็ตะโกนเรียกปะป๊า ทั้ง ๆ ที่มะม๊าและน้าปิดไฟทุกอย่างในบ้านหมดแล้ว พวกเขาก็ก่นด้านกันด้านหน้า นี่นอนไม่ได้จนถึงเช้าเลย” เพื่อนผมเล่าออกมาพลางร้องไห้ ผมเองก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรออกไปดี ทำได้แค่บอกเพื่อนไปว่า อย่าร้องไห้เลยนะ
เปิดประตูห้องเรียนเปิดออก คนพวกนั้นกรูกันเข้ามาด้านใน มันเป็นช่วงเวลาที่กำลังจะเริ่มเรียนอยู่แล้ว… 4-5 คนเป็นผู้ใหญ่แต่ไม่ได้มีท่าทางข่มเหงอะไรเลย พวกเขาเดินเข้ามาในห้องเรียน “ใครคือลูกชายของประธานเจ? อยู่ไหน?” คุณครูที่อยู่ในห้องตกใจตาโตเท่าไข่ห่าน เขาทำเหมือนจะบอกว่า ออกไป แต่ก็ไม่มีใครฟังอะไรทั้งนั้น “นี่มันชั้นปี 2 ห้อง 3 ไม่ใช่เหรอ? ฉันรู้มาว่าแกอยู่ห้องนี้นะ รีบ ๆ โผล่หัวออกมาได้แล้ว!” เพื่อนร่วมห้องหลายคนต่างเอ่ยเสียงสั่นพลางส่งสายตามายังเพื่อนที่นั่งอยู่ข้างผม รู้ตัวอีกที เจ้าพวกผู้ใหญ่นั่นก็เข้ามาใกล้พวกผมแล้ว “พวกนายไม่รู้หรือไงว่านี่มันเวลาเรียนนะ? รีบ ๆ ออกไปเดี๋ยวนี้” คุณครูยืนกรานเสียงแข็งแต่สุดท้ายก็โดนผู้ชายอัดเข้ากับกระดานดำลงไปกองกับพื้น
เจ้าผู้ชายที่ล้มคุณครูลงไปกับพื้นนั้นเดินอาด ๆ เข้ามาใกล้พวกผม เพื่อนร่วมห้องทุกคนต่างก็หันมาทางพวกผม ผู้ชายจับไหล่ของเพื่อนผมไว้แน่น “ฉันจะหิ้วนายไป แล้วให้พ่อนายจ่ายเงินมา ลูกชายทั้งคนคงไม่แกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้หรอกนะ” พวกผู้ใหญ่เหล่านั้นหายใจแรง บรรยากาศภายในห้องเรียนไม่มีอะไรเลวร้ายไปมากกว่านี้อีกแล้ว
ผมมองไปที่ใบหน้าของเพื่อนผม สั่น… และหมดหวัง… เขาสั่นเป็นเจ้าเข้า… เด็กคนนั้นเป็นเพื่อนของผม ผมยื่นมืออกไปจากใต้โต๊ะแล้วคว้าเอามือของเพื่อน เมื่อเพื่อนผมหันมา ผมก็ดึงมือเข้ามาใกล้แล้วตะโกนบอกเขา “หนี!!!”
ท้องฟ้าค่อย ๆ มืดลง ดูเหมือนว่าตอนนี้จะไม่มีคนวิ่งตามพวกผมแล้วจึงได้แหวกแมกไม้เดินออกไปสู่ถนน ภาพพื้นที่โล่งว่างเปล่าซึ่งมีอุปกรณ์กีฬาวางไว้ตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ปรากฎสู่สายตา ผมเดินเข้าไปตรงบาร์เดี่ยวและเพื่อนนั่งลงบนม้านั่ง “จะทำยังไงดี ถ้าซอกจินต้องมาโดนโกรธเพราะฉัน” ผมบอกเพื่อนผมที่เป็นห่วงผมไปว่า ไม่เป็นไร… ตะกี้ผมคิดแค่ว่าจะต้องพาเพื่อนห้องไปจากห้องเรียนให้ได้ ผมคิดเพียงแค่จะพาเขาออกห่างจากคนเหล่านั้น แต่ว่า พอวิ่งหน้าตาตื่นกันออกมาแล้วก็ไม่รู้อีกแหละว่าจะไปที่ไหนกัน
“ก่อนอื่น ไปบ้านฉันเถอะ” ผมคิดว่านี่มันก็เกือบ ๆ จะสามทุ่มแล้ว เพราะดวงอาทิตย์ก็ได้ลาลับไปกว่า 2 ชั่วโมงแล้ว ไหล่ตกลง… นี่เพื่อนผมไหล่ตกได้ขนาดนี้เลยหรือไงนะ… “ซอกจินมีทั้งปะป๊า ทั้งมะม๊าอยู่ที่บ้านอ่ะ ถ้าพาฉันไปด้วยจะไม่โดนดุเอาเหรอ?” “ก็ถ้าแอบ ๆ เข้าไปก็ได้นิ ถ้าจะเจอแล้วก็โดนดุ มันก็แค่นั้นแหละ” หลังจากที่ออกจากตีนภูเขานี้ไปก็อีกไม่ไกลที่จะถึงบ้าน และเมื่อมองเห็นบ้านจากที่ไกล ๆ แล้ว ผมก็พูดขึ้น “พอประตูใหญ่เปิดแล้ว ก็หลบ ๆ อยู่ข้างหลังฉันแล้วพรวดเข้าไปเลยนะ แล้วไปหลบอยู่หลังต้นไม้ต้นนั้น เดี๋ยวฉันจะวิ่งไปเปิดหน้าต่างให้”
แม่นั่งอยู่ที่โซฟาในห้องรับแขก “ไปไหนมาเหรอ? มีโทรศัพท์มาจากทางโรงเรียนล่ะ” ผมตอบกลับไปแค่ “ขอโทษครับ” เพราะถ้าทำแบบนี้แล้วจะไม่ต้องตอบอะไรให้มากความ แม่พูดขึ้นว่า “เดี๋ยวปะป๊าก็จะกลับมาแล้ว” แล้วก็เดินเข้าห้องไป ห้องของผมจะถูกคั่นด้วยห้องนั่งเล่น ลึกเข้าไปฝั่งตรงข้าม… ผมรีบเข้าห้องอย่างรวดเร็วและไปเปิดหน้าต่าง
ช่วงที่เสียงประตูใหญ่เปิดออก มันเป็นช่วงที่พวกผมเติบท้องไส้ให้เต็มด้วยขนมปังและนม จากนั้นก็เล่นเกมกัน เพื่อนมองผมด้วยตาเบิกกว้าง “ไม่เป็นไรหรอก ปะป๊าไม่เข้ามาในห้องฉัน” พูดยังไม่ทันขาดคำ ประตูห้องของผมก็เปิดออก ทั้งผมและเพื่อนยืนทื่อด้วยความตกใจ
“นายคือลูกชายของประธานเจ?” พ่อผมไม่ฟังอะไรแต่ยังพูดต่อ “มานี่ มีคนที่จะมารับตัวนาย” ด้านหลังประตูนั้นมีผู้ชาย 1 คนยืนอยู่ ผมคิดว่าเป็นครั้งแรกที่ได้เห็นพ่อของเพื่อน แต่ทว่า มันไม่ใช่แบบนั้น มันเป็น 1 ในเหล่าผู้ชายที่กรูเข้ามาในห้องเรียน ผมเงยหน้ามองพ่อ พ่อทำหน้าเหนื่อย คิ้วที่ขมวดซะเป็นรอยย่นพร้อมทั้งเปลือกตาที่กระตุก เมื่อไรก็ตามที่พ่อทำหน้าแบบนี้ ผมขอแนะนำเลยว่าอย่าเข้าใกล้เป็นดีที่สุด ในขณะที่กำลังสงสัยกับสีหน้าของพ่ออยู่นั้น เจ้าผู้ชายคนนั้นก็เข้ามาคว้าเอาไหล่เพื่อนของผม ผมเข้าไปยืนจังก้าอยู่หน้าเพื่อน “ไม่ได้นะครับ ปะป๊า, อย่าให้เขาพาเพื่อนผมไป หมอนั่นเป็นคนไม่ดีครับ”
พ่อมองผมต่ำแต่ไม่ได้ขยับอะไร “ปะป๊า ช่วยด้วย ขอร้องล่ะครับ นั่นเพื่อนผมนะครับ” เจ้าผู้ชายคนนั้นดูท่าว่าจะลากเพื่อนผมออกไปข้างนอก ผมจับแขนเพื่อนไว้ แต่ว่า… พ่อก็จับไหล่ผมไหว้เหมือนกัน เขากดแรงลงไป และเพราะอย่างนั้นผมถึงต้องปล่อยมือจากเพื่อน ในพริบตา เพื่อนผมก็ถูกลากออกไปด้านนอก ผมพยายามจะสบัดตัวออกจากการเกาะกุมของพ่อ แต่พ่อก็ยังจับไหล่ผมไว้ทั้งอย่างนั้น หนำซ้ำยังกดแรงลงไปอีก “เจ็บ” ผมร้องโอดโอย แต่พ่อก็ไม่มีทีท่าว่าจะปล่อยเลยสักนิดกลับกัน เขายิ่งเพิ่มแรงเข้ามาอีก น้ำตาของผมไหลเอ่อ
พ่อมองผมจากด้านบน พ่อเหมือนกับกำแพงยักษ์ใหญ่สีเทา บนใบหน้าที่ไร้ความรู้สึกนั้นมีเพียงแค่ความรู้สึกเหน็ดเหนื่อยเท่านั้นที่ปิดบังไม่มิด พ่อมองผมและค่อย ๆ เอ่ยปากพูดช้า ๆ “ซอกจิน ลูกจะต้องเป็นเด็กดี” ใบหน้าของพ่อก็ยังคงไร้ความรู้สึกเช่นเดิม แม้แต่สายตาที่มองมาที่ผม ก็ยังไม่สามารถสัมผัสอะไรได้เลย ผมควรจะทำอย่างไรดีถึงจะหนีจากความทรมานตรงนี้ได้
“ซอกจิน” ผมหันไปมองทางเสียงของเพื่อนที่เรียกผม เพื่อนกำลังวิ่งหนีผู้ชายคนนั้นแล้ววิ่งมาที่ห้องผม ใบหน้าของเขาเปื้อนไปด้วยน้ำตา พ่อที่ยืนจับไหล่ของผมอยู่ปิดประตูด้วยมืออีกข้าง ปัง! ประตูปิดลงเสียงดังลั่น ผมเอ่ยคำขอโทษออกมา “ขอโทษครับปะป๊า, ผมจะไม่ทำอะไรแบบนี้อีกแล้วครับ”
วันต่อมา ที่นั่งด้านข้างผมก็ว่างเปล่า ซึ่งคุณครูก็ได้บอกกับทุกคนว่าเพื่อนของผมนั้นย้ายโรงเรียนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
Translate by : Ministry of INFINITY
Book : 花様年華 The Notes 1 Japanese version
โฮซอก
23 JUL 2010
เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อตอนที่ผมนับเลขไปได้ถึงเลข 4 ผมไม่รู้ว่าผมนับมะเขือเทศ หรือเมล่อน หรือผลไม้อะไรสักอย่างอยู่… ในช่วงเวลาที่เลข “4” ท่วมปากอยู่นั้น ผมในตอนเด็กกำลังจับมือใครสักคน ภาพนั้นเคลื่อนผ่านสายตาของผมไป
มันเกิดขึ้นในวันนั้น วันที่ผมไปสวนสนุกกับแม่ครั้งแรก มีทั้งธงทั้งร้านรวงมากมายทำให้ผมลืมที่จะมองดูตัวเองไปเลย ผู้คนที่มีชุดแปลก ๆ ต่างก็โบกมือทักทาย ไม่ว่าจะเดินไปตรงไหนก็จะมีเสียงดนตรีที่ทำให้คึกคักดังไปตลอดทาง แม่หยุดยืนอยู่หน้าม้าหมุน มีม้าสีขาวหมุนอยู่ท่ามกลางไฟกระพริบส่องประกาย “แม่ครับ แม่ไปขึ้นตัวนั้นมาเหรอ?” ผมตั้งใจจะถามแม่แบบนั้นแหละ แต่ใครสักคนเรียกชื่อผม “โฮซอก” ผมเงยหน้าขึ้น
กลายเป็นคุณครูซะงั้น ทุกคนมองผมด้วยใบหน้าที่ต้องการจะสื่อว่า ‘อะไรเหรอ’ … ภาพลวงตาตรงหน้าผมหายวับไป คุณครูก็บีบให้ผมเริ่มนับเลขต่อ “5, 6” ภาพของแม่ก็ยังปรากฏอยู่ มันอยู่ตรงหน้าผมนี่เอง เนื่องจากใบหน้านั้นย้อนแสงทำให้เกิดเงาขึ้น ลมพัดมาและเส้นผมก็ปลิวไปตามลม แม่ยื่นช็อคโกแลตบาร์ให้ผม “โฮซอก, นับหนึ่งถึงสิบแล้วค่อยลืมตานะลูก”
“7, 8, 9” ผมนับถึงแค่นั้นแล้วหยุด คุณครูชี้ไม้ชี้มือทำท่าทางให้ผมนับต่อ เพื่อนก็ยังคงจ้องมองผมอยู่ ไม่มีเสียงเอื่อนเอ่ยออกจากปาก ผมไม่สามารถระลึกถึงใบหน้าอันชัดเจนของแม่ได้ ผมรู้สึกว่าถ้าผมนับถึงสิบแม่จะไม่เรียกชื่อผมไปตลอดกาล และผมก็ล้มลงกับพื้นที่อย่างนั้น
Translate by : Ministry of INFINITY
Book : 花様年華 The Notes 1 Japanese version
แทฮยอง
29 DEC 2010
ผมถอดรองเท้า เหวี่ยงกระเป๋าทิ้งแล้ววิ่งเข้าไปในห้อง พ่ออยู่จริง ๆ ด้วย ตั้งแต่เมื่อไรกันนะ แล้วไปที่ไหนมาบ้าง ผมไม่ได้คิดคำถามอะไรแบบนั้นเลย ผมวิ่งกระโจนเข้าไปที่อกพ่อ หลังจากนั้นก็จำอะไรไม่ค่อยจะได้ ผมไม่รู้เลยว่ากลิ่นแรกที่ได้กลิ่นเลยก็คือกลิ่นเหล้าหรือเปล่า เสียงแรกที่ได้ยินเลยก็คือเสียงเอะอะโวยวายหรือเปล่า หรือว่าผมโดนต่อยเข้าที่แก้มก่อนหรือเปล่า อะไรกำลังเกิดขึ้นกันแน่นะ ผมไม่เข้าใจเลย ผมรับรู้ได้ถึงกลิ่นปากอันชวนคลื่นไส้ไปด้วยกลิ่นเหล้าปะปนออกมาเมื่อพ่อหายใจรุนแรง ดวงตาแดงก่ำนั่น หนวดเคราที่รกรุงรัง มืออันใหญ่เทอะทะตบเข้าที่ข้างแก้มของผม “มองอะไรวะ?” และก็ถูกตบเข้าไปอีกครั้ง พ่อจับไหล่ของผมแล้วยกขึ้น เขาเคลื่อนตัวเข้ามาใกล้ราวกับจะสัมผัสใบหน้าของผม หนวดเคราสากและดวงตาสีแดงก่ำ ไม่ใช่พ่อแล้วล่ะ ไม่สิ ก็พ่อนั่นแหละ แต่ไม่ใช่พ่ออ่ะ เท้าทั้งคู่ของผมลอยเคว้งอยู่กลางอากาศ ด้วยความหวาดกลัวสุดขีด น้ำตาของผมไม่ไหลออกมาสักนิด และพริบตาต่อมาศีรษะของผมก็กระแทกเข้ากับผนังอย่างรุนแรง ผมล้มลงกับพื้นที่อย่างนั้น ภาพเบื้องหน้าของผมสั่นไหวราวกับศีรษะของผมจะแตกเป็นเสี่ยง ๆ หลังจากนั้นทุกอย่างก็กลายเป็นสีดำ
Translate by : Ministry of INFINITY
Book : 花様年華 The Notes 1 Japanese version
จีมิน
06 APR 2011
ผมเดินออกจากประตูใหญ่ของสวนพฤกษชาติ Bulkkoch คนเดียว ท้องฟ้าในวันนี้มีเมฆปกคลุมและก็หนาวนิดหน่อย แต่นั่นก็ทำให้รู้สึกดี ทั้ง ๆ ที่เป็นวันทัศนศึกษาของโรงเรียนแท้ ๆ แต่พ่อกับแม่ก็ดันยุ่ง เพราะงั้นความรู้สึกรื่นเริงยินดีของผมจึงถูกแช่แข็ง แต่ว่าผมก็ถูกชื่นชมในการแข่งขันการสเกตภาพดอกไม้ คุณแม่ของเพื่อนได้กล่าวกับผมว่า “จีมินนี่สุดยอดไปเลยนะจ๊ะ” ในช่วงเวลานั้น ผมรู้สึกว่าตัวเองเท่ขึ้นมานิดล่ะ
“จีมิน รออยู่นี้สักประเดี๋ยวนะ เดี๋ยวครูกลับมา” เมื่อตารางการทัศนศึกษาจบสิ้นลง ก็ถึงเวลาที่จะต้องออกจากสวนพฤกษชาติกันแล้ว ครูพูดกำชับผมให้รอ แต่ผมก็ดันไม่รอ ผมเชื่อว่าผมสามารถกลับเองคนเดียวได้ สองมือของผมจับสายกระเป๋าไว้แน่น แล้วก้าวเดินฉับ ๆ ผมรู้สึกได้ว่าทุกคนกำลังจ้องมองผมอยู่ แต่ผมก็ยืดอกอย่างสง่าผ่าเผย ช่วงเวลาที่ผมตกลงมานั้นมันเป็นตอนที่ผมเดินได้มาสักระยะแล้ว และเมื่อเพื่อน ๆ พร้อมทั้งเหล่าคุณแม่กลับไปจนหมดแล้ว ก็จะไม่มีใครหันมาสนใจผมแล้ว เท้าของผมเริ่มเจ็บ ตอนนี้ผมกำลังนั่งอยู่ใต้ต้นไม้ ฝนตกลงมาอย่างรุนแรง ผมยื่นหน้าออกไปมองซ้ายมองขวาไม่เห็นใครเดินผ่านไปสักคน
ท้ายที่สุด ผมก็ยกกระเป๋านักเรียนขึ้นบนศีรษะและเริ่มออกวิ่ง ตามตัวของผมเปียกปอนไปด้วยเม็ดฝนที่รุนแรง ในขณะที่ผมเดิน ๆ หยุด ๆ อยู่นั้นก็ปรากฎว่าชายกางเกงเปียกไปหมด ไม่มีใครอยู่เลย แถมป้ายรถเมล์ก็ไม่มี ณ ที่ห่างไกลตรงโน้นผมมองเห็นประตูทางเข้า ผมวิ่งหน้าตั้งไปยังที่ตรงนั้น มือที่จับสายของกระเป๋านักเรียนนั้นไร้ความรู้สึกอย่างสิ้นเชิง ทั่วทั้งร่างของผมสั่นไปหมด เสียงฟันกระทบกันดังกึกกัก ด้านหน้าประตูเขียนไว้ว่า “สวนพฤกษชาติ Bulkkoch” มันเป็นประตูด้านหลังของสวนพฤษชาตินี้ และผมก็มองเห็นสิ่งปลูกสร้างขนาดเล็กคล้ายกับโกดังเก็บของอยู่ลึกเข้าไปหลังประตูสวน
Translate by : Ministry of INFINITY
Book : 花様年華 The Notes 1 Japanese version
ซอกจิน
21 JUL 2012
ประตูทางออกเปิด ๆ ปิด ๆ วนไปเวียนมาอย่างนั้น ผมนั่งอยู่ในห้องรับรองของสนามบิน และหันไปมองยังประตูทางออก เหล่านักเดินทางเดินผ่านไปผ่านมาไม่หยุดหย่อน มีคนที่สวมแว่นกันแดดด้วย ที่ป้ายไฟด้านหน้าแสดงสถานะของเที่ยวบินที่จะลงจอด หรือช้ากว่ากำหนด หรือยกเลิกเที่ยวบิน คุณลุงคนขับรถมองดูโทรศัพท์มือถือพลางบ่นพึมพำ “ไม่เห็นมีอะไรแจ้งมาเลย” พูดพลางมองดูนาฬิกา ตอนนี้มันเลยตารางเวลามาชั่วโมงกว่าแล้ว
เท่าที่ผมจำความได้นะ ผมน่ะ ตัวคนเดียวตลอด พ่อก็ยุ่งกับงาน แม่ก็ไม่ได้ใส่ใจผม ทั้งพ่อทั้งแม่ต่างก็บอกกับผมว่าทำเท่าที่สั่งก็พอ นอกเหนือจากที่สั่งก็ไม่ต้องทำ ในตอนที่ผมฝ่าฝืนคำสั่งผมก็จะนั่งเงียบและฟังคำดุด่า ผมอยากจะเป็นลูกที่พ่อแม่รัก
ในตอนที่แม่เสียก็เป็นช่วงก่อนหน้านี้ พ่อบอกกับผมว่าอย่าร้องไห้และพ่อเองก็ไม่ร้องไห้เลยสักแอะ ผมพยายามอย่างเต็มที่เพื่อไม่ให้ตัวเองร้องไห้ แต่ทว่าในที่สุดผมก็ทำไม่ได้ พ่อส่งผมไปอยู่อเมริกากับยาย ในตอนที่พ่อพูดเรื่องนี้กับผมไม่มีความเปลี่ยวเหงาเลยสักนิด
คุณลุงคนขับรถยื่นพาสปอร์ตมาให้ผม ถึงเวลาที่จะต้องไปแล้วล่ะ ในขณะที่ผมกำลังมุ่งหน้าไปยังประตูขาออก พอผมหันหลังกลับไปมอง ประตูทางออกก็ปิดลง ผมเห็นคุณลุงคนขับรถโบกมือให้ เครื่องบินออกวิ่งไปตามรันเวย์ ในท้ายที่สุดแล้ว พ่อของผมก็ไม่โผล่มา
ผมจ้องมองไปยังท้องฟ้าเบื้องนอกผ่านกระจกเล็ก ๆ ของเครื่องบิน ในตอนที่ผมเห็นก้อนเมฆผลุบ ๆ โผล่ ๆ แต่สุดท้ายแล้วทุกอย่างก็มืดสนิท ในตอนที่พนักงานบนเครื่องบินเข็นรถเข็นอาหารเข้ามานั้นเครื่องบินก็เกิดสั่นไหวพอดีทำให้น้ำผลไม้หกเลอะเทอะ ด้วยความลนลานผมรีบควานหาผ้าเช็ดมือ พนักงานบริการบนเครื่องบินถามผมว่าผมโอเคหรือเปล่า ทั้งข้าวผัดและเนื้อต่างก็ผสมปนเปไปกับน้ำผลไม้ มือเหนียวไปหมด แถมกางเกงก็เปียกชื้นอีกต่างหาก… “ไม่ครับ” ผมตอบกลับไปด้วยเสียงอันเบา และดูเหมือนว่าพนักงานบริการบนเครื่องบินจะไม่ได้ยินด้วยซ้ำ เธอเข็นรถเข็นไปเรื่อยพลางพูดว่า ไม่เป็นไรนิ… ผมก้มลงมองเบื้องล่างอยู่อย่างนั้นพลางพยักหน้า
Translate by : Ministry of INFINITY
Book : 花様年華 The Notes 1 Japanese version
นัมจุน
21 JUN 2016
พอวิ่งถ่อลงมาจากชั้นที่ 13 ก็เล่นเอาผมหายใจหอบ แข้งขาสั่นไปหมด ผมนั่งแหมะลงจุดที่เป็นเงาของโถงด้านหน้าของแมนชั่น เป็นเพราะชั้นเรียกเลิกช้ากว่าปกตินี่แหละผมถึงได้เริ่มงานช้าเนี่ย ผมจะต้องวิ่งถ่อติดป้ายประกาศที่แมนชั่นทั้งหมด 4 หลังภายในระยะเวลาที่ถูกกำหนดไว้ เพราะงั้น ผมต้องวิ่งเท่านั้น… ถ้าวันนี้ผมติดป้ายไม่เสร็จนะ จะต้องโดนประธานสวดอีกแน่เลย สำหรับเราที่เป็นเด็กมัธยมต้นแล้ว การเกลี้ยงกล่อมประธานที่ไม่ยอมใช้งานพวกเรานั้นเป็นเรื่องที่สาหัสสากัน ผมจะมาถูกไล่ออกในตอนนี้ไม่ได้ เมื่อสัปดาห์ที่แล้วแม่ก็เพิ่งจะลาออกจากงานในโรงอาหาร แถมพวกเรายังต้องเอาค่าแก๊ส, ค่าไฟไปจ่ายค่ายาให้พ่อ พอผมนั่งยองลงที่ร่มเงา ทันใดนั้นความเหน็ดเหนื่อยง่วงนอนก็เข้าจู่โจม ผมมองไปยังอีกฝั่งซึ่งมีเด็ก ๆ กำลังเล่นบาสเก็ตบอลกันอยู่ ผมลุกขึ้น จะต้องออกวิ่งแล้วล่ะ ผมพูดราวกับกำลังร่ายเวทมนตร์ “ต้องทำ, ฉันทำได้”
Translate by : Ministry of INFINITY
Book : 花様年華 The Notes 1 Japanese version
ยุนกิ
19 SEP 2016
ใครสักคนผลักผมที่สีข้างแล้ววิ่งผ่านไป เห็นนักดับเพลิงพูดกันว่าเข้ามาได้แล้ว และใครสักคนก็รั้งร่างของผมไว้ พวกเขาถามคำถามผมยาวเหยียดไม่เว้นช่องว่างให้ผมเลย “ข้างในมีใครมั้ย?” ผมเหม่อมองคนที่เอ่ยถามผม “คุณแม่อยู่ข้างในมั้ย?” คนนั้นคว้าไหล่ผมแล้วเขย่า “ไม่ครับ ไม่มีใครอยู่เลย” ผมตอบเขาไปแบบนั้น “พูดอะไรของนาย” ป้าข้างบ้านแว๊ดขึ้นมา “คุณแม่ล่ะ? คุณแม่ไปไหน?” “ไม่มีใครอยู่ครับ” ผมเองก็ไม่รู้หรอกนะว่าตัวเองพูดอะไรออกไปบ้าง ใครสักคนผลักผมและวิ่งผ่านหน้าผมไป…
Translate by : Ministry of INFINITY
Book : 花様年華 The Notes 1 Japanese version
จองกุก
11 SEP 2017
ก็รอมาแล้ว 10 วัน การ์ดวันเกิดก็ยังไม่มา…ผมเลื่อนลิ้นชักด้านล่างสุดออกมา ในขณะกำลังที่เคลื่อนย้ายสมุดโน๊ตอยู่นั้น การ์ด 4 ใบก็ร่วงลงสู่พื้นเผยให้เห็นรูปร่างของมัน “จองกุก สุขสันต์วันเกิดนะ จากป่ะป๊า” มันเป็นเพียงแค่การ์ดที่เขียนอะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ ลงไป แต่ผมก็วนอ่านมันอยู่หลายต่อหลายครั้ง
ช่วงฤดูหนาวที่ผมอายุ 7 ขวบ ผมตื่นขึ้นมาเพราะได้ยินเสียงดังมาจากห้องนั่งเล่น ในตอนนั้นผมอยู่ที่ห้องใต้หลังคา เมื่อผมวิ่งลงบันได 5 ชั้นถ้าเปิดประตูจะพบว่ามันเป็นห้องของพ่อกับแม่ ผมตั้งใจจะเปิดประตูนั่นแหละ แต่สุดท้ายก็ต้องรั้งมือไว้ ทั้ง ๆ ที่เป็นเด็กอยู่แท้ ๆ แล้วต้องมารับรู้บรรยากาศที่อยู่เบื้องหลังม่าประตูนั่น ผมรู้เลยว่ามันเป็นสถานที่ที่ผมไม่ควรจะเข้าไป
พ่อพูดออกมาว่าการมีชีวิตอยู่มันช่างทรมาน ไม่สามารถอดทนกับโลกใบนี้ได้อีกแล้ว… และแม่ก็ไม่ได้ตอบอะไรออกไป หรือแม้แต่ร้องไห้… แม่เอาแต่นิ่งเงียบ ความเงียบอันชวนอึดอัดยังคงดำเนินต่อไป พ่อพูดว่าถ้ายังเป็นแบบนี้อยู่ต้องแตกสลายแน่ ๆ ไปต่อไม่ไหวแล้ว และแม่ก็เอ่ยถามว่าคำพูดไร้ความรับผิดชอบพวกนี้มาได้ยังไง และชื่อของผมก็หลุดออกมา แล้วจองกุกจะทำยังไง… ผมรออยู่ด้านนอกประตูสักพัก แต่พ่อก็ไม่ได้ตอบอะไร หลังจากนั้นก็ได้ยินเสียงประตูโถงเปิดออก “ฉันที่ว่างเปล่านี้ไม่มีอะไรจะทำให้กับจองกุกหรอก” และนั่นเป็นคำพูดสุดท้ายของพ่อ
ผมเดินขึ้นบันได เดินไปยังห้องใต้หลังคาซึ่งเป็นห้องสำหรับคนที่ไร้ความสำคัญ ที่ใต้หน้าต่างมีเก้าอี้วางอยู่ พ่อเดินลงทางลาดไป…เท้าของพ่อ, เอวของพ่อ, หน้าอกของพ่อ, ไหล่ของพ่อค่อย ๆ เลือนหายไป ผมมองเห็นพ่อค่อย ๆ ถูกกลืนเข้าไปยังโลกฝั่งนั้น
ทันใดนั้น ในตอนที่เสียงเปิดประตูห้องดังขึ้น ผมก็ใช้เท้าเลื่อนปิดลิ้นชักอย่างรวดเร็ว เป็นแม่นั่นเอง… ไม่มีการ์ดอวยพรวันเกิดใช่มั้ยล่ะ แม่บอกกับผมว่าพ่อก็เป็นแบบนี้มาตั้งนานแล้ว มันเป็นคำพูดที่ผมฟังจนชิน แม่พูดออกมาว่า “พ่อเขาเป็นคนอ่อนแอ, ไร้ความสามารถ, ไม่สามารถทำตัวให้คุ้นชินกับสังคมได้ จึงได้ทิ้งพวกเราและหนีไป…” ไม่มีการ์ดอวยพรวันเกิดใช่มั้ยล่ะ โลกใบนี้ที่พ่อรู้สึกหนักใจและวางมือนั่นน่ะก็คือตัวผมเอง… สำหรับพ่อแล้วผมก็เป็นเพียงแค่เด็กที่ไม่สามารถทำให้พ่อหาเหตุผลมาทานทนกับความยากลำบากต่าง ๆ ได้…นั่นแหละผมล่ะ…
Translate by : Ministry of INFINITY
Book : 花様年華 The Notes 1 Japanese version
ซอกจิน
02 MAR 2019
ภายในห้องของอาจารย์ใหญ่ที่ผมถูกพ่อลากเข้ามานั้นสัมผัสได้ถึงกลิ่นชื้นภายในห้อง วันนี้เป็นวันที่ 10 แล้วที่ผมกลับมาจากอเมริกาและด้วยระบบการศึกษาที่แตกต่างกัน ทำให้ผมต้องเรียนในชั้นที่ต่ำกว่าปกติ 1 ชั้นปี เรื่องนี้ผมรู้มาตั้งแต่เมื่อวาน “รบกวนด้วยครับ” พ่อวางมือลงบนไหล่ของผม ผมหดตัวโดยอัตโนมัติ “โรงเรียนนั้นเป็นสถานที่ที่อันตราย จำเป็นต้องได้รับการควบคุมดูแล” อาจารย์ใหญ่จ้องเขม้นมาที่ผม ในตอนที่อาจารย์ใหญ่พูดนั้น แก้มที่เต็มไปด้วยริ้วรอยและผิวหนังรอบ ๆ ปากนั้นสั่นไหว, ด้านในของริมฝีปากสีดำคล้ำนั้นเป็นสีแดงคล้ำ “ซอกจินคุง เธอเองก็คิดเช่นนั้นไหม?” พอถูกถามคำถามแบบไม่ได้ตั้งตัว ผมก็เกิดอาการสะดุ้งตกใจขึ้นมา พ่อบีบไหล่ของผมแรงขึ้น แรงบีบนั้นพอ ๆ กับที่จะทำให้กล้ามเนื้อเกิดอาการเหน็บชา “คิดว่าเขาจะพยายามกับสิ่งนี้ครับ” ผมสานสายตากับอาจารย์ใหญ่ ในขณะที่พ่อค่อย ๆ เพิ่มแรงบีบที่ไหล่ของผม ผมรู้สึกเจ็บปวดราวกับไหล่กำลังจะแตกหัก ผมกุมฝ่ามือตัวเองไว้แน่น ร่างกายของผมสั่น เหงื่อเย็น ๆ หลั่งไหลออกมา “มีอะไรก็บอกผมได้เลยครับ, ซอกจินคุง เธอจะต้องเป็นเด็กดี” อาจารย์ใหญ่มองผมด้วยสีหน้าเย็นชา “…ครับ” ทันทีที่ผมตอบเช่นนั้น ความรู้สึกเจ็บปวดก็หายเป็นปลิดทิ้ง ผมได้ยินเสียงหัวเราะของพ่อและอาจารย์ใหญ่ ผมไม่สามารถเงยหน้าขึ้นมองได้ ผมจ้องไปที่รองเท้าสีน้ำตาลของพ่อและรองเท้าสีดำของอาจารย์ใหญ่ ผมไม่รู้หรอกนะว่ามีแสงส่องเข้ามาจากไหนแต่ว่ามันสะท้อนมาจากปลายรองเท้านั่น
Translate by : Ministry of INFINITY
Book : 花様年華 The Notes 1 Japanese version
จีมิน
12 MAR 2019
ตอนนี้ก็เปิดเรียนไปหลายวันแล้ว แต่บรรดาเด็กนักเรียนก็ยังคงไม่รู้สึกคุ้นชินแม้แต่น้อย เรื่องที่ผมพูดโกหกนั้นเป็นสิ่งที่ยากจะจินตนาการมาก ผมพยายามทำหน้าให้ดูปกติธรรมดาที่สุดแต่ว่ามันก็ไม่เป็นไปตามที่ผมคิด “ทั้ง ๆ ที่นายอาศัยอยู่แมนชั่นอีกฝั่งของแม่น้ำใช่มะ? ทั้ง ๆ ที่เป็นแบบนั้นนายมาเรียนที่โรงเรียนนี้ทำไม?” ใครสักคนเอ่ยปากถามผม แต่ว่าผมก็แสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน ผมไม่ได้ตอบอะไรกลับไป ผมเอาแต่เดินก้มหน้า “เฮ้ย! นายฟังที่ฉันพูดอยู่เปล่าวะ?” ผมเร่งฝีเท้าเร็วขึ้น ผมเข้า ๆ ออก ๆ โรงพยาบาลและจู่ ๆ ก็กลายมาเป็นย้ายโรงเรียน ไม่มีโรงเรียนไหนใกล้บ้านที่ผมจะไปได้เลย
ผมมุ่งหน้าไปยังห้องเรียนที่เป็นโกดังในฐานะที่เป็นอาสาสมัครภายในโรงเรียน พอผมเปิดประตูเข้าไป ผมก็ได้ยินเสียงพูดคุยกัน ทั้ง ๆ ที่ผมคิดว่าไม่มีใครอยู่แล้วแท้ ๆ ผมตกใจกับเสียงพูดคุยนั่นก็เลยว่าจะปิดประตู แต่ในช่วงเวลาที่ตั้งท่าจะปิดอยู่นั้น ใครสักคนก็เรียกชื่อผมไว้ “ปาร์ค จีมินใช่มั้ย?” เขาเป็นรุ่นพี่ที่ถูกลงโทษพร้อมกันตอนมาโรงเรียนสาย ผมไม่สามารถตัดสินใจได้เลยว่าจะตอบคำถามนั่น หรือจะเอาแต่เงียบดี ทันใดนั้นเอง ใครสักคนก็ผลักไหล่ผม “ไม่เข้าไปหรือไง?” และผมก็เข้าไปในห้องเรียนทั้งอย่างนั้น “ดีใจที่ได้เจอนายอีกนะ นายจำฉันได้มั้ย? ฉันชื่อคิม นัมจุน น่าจะอายุรุ่นเดียวกันป่ะวะ..”
มารู้สึกตัวอีกที ผมก็นั่งแหมะลงบนเก้าอี้แล้ว หลังจากนั้นประตูห้องเรียนก็เปิด ๆ ปิด ๆ อยู่ตลอดเวลา จู่ ๆ คน 7 คนที่ร่วมด้วยช่วยกันทำความสะอาดในครั้งที่ถูกทำโทษก็มารวมตัวกัน ไม่มีใครฟังใครสักคน แต่ละคนก็ทำแต่ละอย่าง ฟังเพลงบ้างล่ะ, อ่านหนังสือบ้างล่ะ, เต้นบ้างล่ะ ใช้เวลาผ่านไปเฉย ๆ มันทำให้ผมรู้สึกโดยธรรมชาติว่าเหมือนเราทำแบบนี้กันมาตั้งนานแล้ว
Translate by : Ministry of INFINITY
Book : 花様年華 The Notes 1 Japanese version
ยุนกิ
12 JUN 2019
ก็เพราะว่าโดดโรงเรียนออกมาแบบไม่ได้วางแผนอะไรนี่แหละ ทำให้สุดท้ายแล้ว ผมก็ไม่รู้ว่าจะไปที่ไหนดี นอกจากนั้นอากาศก็ยังร้อน ไม่มีเงิน แถมยังไม่มีอะไรจะทำ คนที่ชวนผมไปยังทะเลก็คือนัมจุน บรรดาน้อง ๆ ก็ดูดี๋ด๋ากันดี ในขณะที่ผมทำท่าแบบไม่ชอบใจไม่มีอารมณ์จะไปทำอะไรแบบนั้น “มีเงินเหรอ?” และเพราะคำถามนี้ของผมนี่แหละ นัมจุนถึงได้ให้ทุกคนควักเงินออกมาจากกระเป๋า “เศษเงินและแบงค์จำนวนหนึ่ง มันไปไม่ได้” “งั้นเดินไปก็ได้” ผมคิดว่าคนที่พูดประโยคนี้จะต้องเป็นแทฮยองแน่ ๆ แล้วนัมจุนก็ทำหน้าเหมือนต้องการจะบอกผมว่า ขอร้องล่ะครับ ช่วยคิดอะไรให้หน่อย ทุกคนเดินไปบนถนนในขณะที่กลับไปกลับมาวิ่งเล่นบนขอบถนนบ้าง, หัวเราะบ้าง, หรือพูดคุยเรื่องไม่เป็นเรื่องบ้าง, ส่วนผมไม่มีอารมณ์จะตอบสนองอะไรพวกเขาหรอก ก็เลยขอเดินรั้งท้าย แสงแดดก็ช่างร้อนแรง แสงที่ส่องกระทบยังไม่แม้จะทำให้เกิดเงาอยู่บนถนนในช่วงกลางวันอันร้อนอบอ้าว รถยนที่แล่นบนถนนที่ไม่มีทางเดินเท้าวิ่งผ่านไปท่ามกลางฝุ่นควันฟุ้งกระจาย
“ไปตรงโน้นกันเถอะ” ครั้งนี้ก็ยังคงเป็นแทฮยองอีกเหมือนเดิม เอ๊ะ หรือว่าจะเป็นโฮซอก เออ เรื่องนั้นมันไม่ใช่เรื่องยิ่งใหญ่อะไร และผมก็ไม่มีอารมณ์จะไปถามด้วย แต่คิดว่าใครสักคนใน 2 คนนี้แหละ ด้วยความที่รู้สึกว่ายุ่งยากผมก็คิดว่าจะรั้งท้ายห่าง ๆ อยู่ข้างหลังคนเดียวนี่แหละ แต่ทว่าก็ดันไปชนกับใครสักคนเข้า ผมหยุดเดินและมอง อ้อ…จีมินนั่นเอง จีมินยืนนิ่งราวกับถูกสถานที่ตรงนั้นตีเข้าให้ กล้ามเนื้อบนใบหน้าของเขาสั่นราวกับมองเห็นอะไรบางอย่างที่น่ากลัว, “นายโอเคไหม?” ผมถามเขาไปแบบนั้น แต่ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้ฟังอะไรผมเลย ที่เบื้องหน้าสายตาของจีมินมีป้ายบ่งบอกว่า “สวนพฤกษชาติ Bulkkoch 2.1 Km” ตระง่านอยู่ เหงื่อของจีมินไหลย้อยลงมาเป็นเม็ด ๆ จากใบหน้า ตอนนี้ดูเหมือนว่าเขากำลังจะพังทลายลง รู้สึกเหมือนเขากำลังขยาดอะไรสักอย่าง “ปาร์ค จีมิน” ผมตะโกนเรียกเขาอีกครั้ง แต่เขาก็ไม่ขยับอะไรเลย ผมเงยหน้าจ้องมองป้ายนั้น
“อ่าาา, ร้อนจะตาย แต่อะไรเนี่ย สวนเหรอ? เราลองไปให้ถึงทะเลกันเถอะ” ผมพูดออกไปแบบไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไร ผมไม่รู้หรอกนะว่าสถานที่ที่ชื่อว่า “สวนพฤกษชาติ Bulkkoch” คืออะไร แต่ผมกลับรู้สึกว่ามันเป็นที่ที่ไม่ควรไป “ก็บอกว่าเงินมันไม่พอไง” โฮซอกตอบ “เดินกันเถอะ” แทฮยองตอบกลับ “เดินไปให้ถึงสถานีรถไฟ น่าจะมีอะไร ๆ ดีขึ้นนะ แต่ถ้าเป็นแบบนั้น เราก็จะต้องสละมื้อค่ำไป” คราวนี้เป็นนัมจุน จองกุกและแทฮยองส่งเสียงราวกับจะร้องไห้งอแง จีมินเริ่มเคลื่อนไหวร่างกายอีกครั้งก็ตอนที่ทุกคนเดินมุ่งหน้าไปยังถนนที่มุ่งสู่สถานีรถไฟ จีมินที่เดินก้มหน้าห่อไหล่อยู่นั้นดูเหมือนเขาเป็นเด็กที่เล็กเอามาก ๆ ผมเงยหน้ามองป้ายนั้นอีกครั้ง “สวนพฤกษชาติ Bulkkoch” และตัวอักษรเหล่านั้นก็ค่อย ๆ ห่างออกไปจากสายตา
Translate by : Ministry of INFINITY
Book : 花様年華 The Notes 1 Japanese version
จองกุก
12 JUN 2019
ในตอนที่พวกเรามาถึงสถานีรถไฟตรงริมหาดแดดก็ยังคงร้อนอยู่ เงายังคงอยู่บริเวณตรงปลายเท้า ผมไม่คิดที่จะหลบแดดเลยสักนิด ในตอนที่กำลังคิดอยู่ว่าได้ยินเสียงคลื่นหรือเปล่านะ ผมก็พบกับหาดทรายที่ทอดยาว หน้าร้อนได้เริ่มต้นแล้วสินะ ร่มชายหาดลายดอกไม้ของบรรดาแขกที่มาพักร้อนต่างก็ถูกกางไว้ตรงนั้นตรงนี้ ทำไมทะเลถึงได้เป็นสิ่งที่สามารถเติมเต็มความรู้สึกของมนุษย์ให้ฟูฟ่องได้นะ… ทั้งพี่แทฮยองและพี่โฮซอกต่างก็โห่ร้องเสียงดังและออกวิ่ง พอทั้ง 2 คนนั้นหันกลับมาโบกไม้โบกมือผมก็พบว่าพี่จีมินและพี่ซอกจินวิ่งเข้าไปผสมโรงด้วยแล้ว
“จองกุก” ผมฉีกยิ้มและโบกไม้โบกมือให้กับเสียงที่เรียกชื่อผม ไม่สิ ต้องเรียกว่าแสร้งทำเป็นยิ้มให้เห็นต่างหากล่ะ ผมก็ยังคงอ่อนหัดในเรื่องของการเปิดเผยความรู้สึกที่แท้จริงและการทำตัวกลมกลืนไปกับสิ่งแวดล้อมที่ตัวเองไม่คุ้นชิน ซึ่งเพราะแบบนี้นี่เองทำให้ผมมักจะถูกหลายคนพูดถึงอยู่บ่อยครั้งว่าเป็นเด็กที่ขวางโลก แม้แต่ตอนนี้ก็ยังคงเป็นอย่างนั้น อีกทั้งผมยังไม่คุ้นชินกับพี่ ๆ เขาทำให้ยากที่จะเข้ามาใกล้ นอกจากนั้นท่าทางของผมก็ยังเก้งก้างเพราะรู้สึกว่าผมเดินเข้ามายังสถานที่ที่ไม่ใช่ของผม
มันไม่ใช่เรื่องที่จะเกิดขึ้นบ่อยนักกับการที่พวกเราเดินสุ่มสี่สุ่มห้าแล้วโผล่มาที่ทะเลนี้ได้ “มาวิ่งแข่งกัน!” ทุกคนที่ถูกพี่โฮซอกชวนวิ่งอย่างปัจจุบันทันด่วนก็วิ่งตามพี่เขาไปสักพัก ก่อนที่จะล้มเลิกกัน มันร้อนเหลือเกิน พี่นัมจุนกางร่มกันแดดพัง ๆ ที่ไม่รู้ว่าไปหิ้วมาจากไหน พวกเรานอนด้วยกัน 7 คนภายใต้ร่มเงาของร่มกันแดด แสงแดดทอดส่องลงมาตามรอยขาดของร่มที่อยู่ตรงนั้นตรงนี้ แสงแดดที่ทอดลงมาค่อย ๆ เคลื่อนตัว และพวกผมก็ขยับก้นกันหยุกหยิกเพื่อที่จะหลบแสงแดดนั่น
“เราลองไปที่โขดหินนี่กันมั้ย?” พี่โฮซอกชูหน้าจอโทรศัพท์มือถือให้ดู บนหน้าจอ LED นั้นแสดงภาพของโขดหินที่ตั้งตระหง่านอยู่บริเวณชายฝั่ง “เหมือนมันจะมีเรื่องเล่าที่ว่า ถ้าเราปีนขึ้นไปบนโขดหินนี้ หันหน้าออกหาทะเล แล้วตะโกนความฝันออกไป ความฝันนั้นจะกลายเป็นจริง” พี่จีมินยกโทรศัพท์มือถือขึ้นพลางชะเง้อมอง “แต่ว่ามันไม่ไกลไปหน่อยเหรอ? เหมือนมันจะห่างจากนี่ไป 3.5 กิโลเลยนะ” พี่ยุนกิหันมาพูดทั้ง ๆ ที่นอนอยู่อย่างนั้น “ฉันไม่ไป แถมฉันไม่มีความฝันที่อยากจะให้เป็นจริงด้วย หรือถ้ามีแล้วจะต้องฝ่าแดดโคตรร้อนในระยะทาง 3.5 กิโลเมตร ฉันขอบายล่ะ” ในตอนนั้นเองที่พี่แทฮยองลุกขึ้นมาอย่างรวดเร็ว “ผมจะไป”
พวกเราถือร่มชายหาดขาด ๆ ยื่นไปเบื้องหน้าแล้วออกเดิน หาดทรายร้อนขึ้นมาทันใดเพราะแสงแดดกล้า แถมลมก็ไม่มีพัดมาเลยแม้แต่น้อย เท้าของพวกเราเดินเหยียบย่ำอยู่บนทรายที่ร้อนระอุราวกับมนุษย์ที่เพิ่งรอดชีวิตมาจากสงคราม นาน ๆ ครั้งพี่โฮซอกจะพูดอะไรขำขันออกมา แต่ท้ายที่สุดแล้วก็ไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับอะไรเลย และเมื่อพี่แทฮยองล้มลงนั่งพร้อมทั้งบ่นออกมาว่าไปต่อไม่ไหวแล้ว พี่นัมจุนถึงได้วางมือบนแผ่นหลังของพี่เขา ใบหน้าของทุกคนเป็นสีแดง เหงื่อไหลย้อยลงมาตามคางเป็นเม็ด ๆ ถึงแม้จะใช้ปลายแขนเสื้อเชิ้ตสบัดให้เกิดลม แต่มันก็เป็นเพียงแค่ลมร้อน ๆ เท่านั้น แต่ถึงกระนั้นพวกผมก็ยังดื้อด้านที่จะเดินหน้าต่อไป
เมื่อไปข้างหน้าอีกสักพัก ผมก็เริ่มถามคำถามเกี่ยวกับความฝันกับพวกพี่ ๆ พี่ซอกจินบอกว่าอยากจะเป็นคนดี, พี่ยุนกิบอกว่าความฝันน่ะ ไม่มีก็ได้, พี่โฮซอกบอกว่าอยากจะมีความสุข ส่วนพี่นัมจุน ผมนึกไม่ออกว่าพี่เขาบอกว่าอะไร แต่ไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอะไร นั่นก็หมายความว่าพวกเราไม่มีความฝันอันยิ่งใหญ่หรือสำคัญอะไรเลย ถ้างั้น…แล้วทำไมเราถึงโดน “ความฝัน” ลากให้เดินทางท่ามกลางอากาศร้อนเป็นระยะทาง 3.5 กิโลเมตรเพื่อมาชายฝั่งนี้กันนะ…
ร่มชายหาดที่พี่นัมจุน, พี่โฮซอก และพี่จินผลัดกันถือนั้นถูกทิ้งไปในระหว่างทาง คือมันก็สามารถที่จะกันแดดให้พวกเราได้อยู่หรอก แต่เนื่องจากด้านในของแกนร่มทำมาจากเหล็กทำให้มีน้ำหนักมากและสูบพลังเอาการ “พอเหอะ” ตอนที่พี่ยุนกิหันหน้ามาหาผมและพูดคำนี้ขึ้นมามันเป็นตอนที่ทิ้งร่มชายหาดและหยุดพัก ในตอนแรก ผมไม่รู้เลยว่าพี่เขาหมายถึงอะไร จริง ๆ แล้วผมไม่ค่อยได้คุยกับพี่ยุนกิเลย และผมก็ไม่คิดด้วยว่าพี่เขาจะมาคุยกับผม พี่ยุนกิกางนิ้วของตัวเองให้ผมดู “มันเป็นแบบนี้อ่ะ” ที่นิ้วของพี่ยุนกิมีแผลที่เกิดจากการกัดเล็บ ผมยัดมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงด้วยความอืดอาด ผมไม่รู้เลยว่าควรจะพูดอะไรกับพี่เขาดี ผมตอบอะไรพี่เขาไม่ได้เลย
“เออ จริงด้วย, นายมีความฝันว่าอะไรเหรอ?” พี่เขาถามผม “จำได้ว่าตอนนั้นมีแค่นายที่ยังไม่ได้บอกว่าความฝันของนายคืออะไร” หน้าตาพี่เขาไม่ได้บ่งบอกว่าอยากจะรู้เลย แต่ดูเหมือนว่าเพราะไม่รู้ว่าจะคุยอะไรกันก็เลยถามแบบนี้ “ไม่ทราบครับ ผมไม่เคยคิดถึงความฝันเลย” “งั้นเหรอ… เออ กรณีแบบนี้มันก็มีอยู่หรอกเนอะ” พี่เขาพูด
“แล้ว… ความฝันของพี่คืออะไรครับ?” ผมถามออกไปด้วยท่าทีลังเล พี่เขาตอบกลับด้วยโทนเสียงสบาย ๆ “ฉันตอบไปว่า ‘ไม่มี’ ไม่ใช่หรือไง…” “ไม่ครับ ไม่ใช่” ผมพูดด้วยท่าทียึกยัก “ ‘ความฝัน’ นี่มันอะไรนะ… ฉันน่ะ ไม่ค่อยเข้าใจ ‘ความฝัน’ ที่ทุกคนเขาพูดกันหรอก” พี่เขาหันมามองผมทำหน้านิ้วคิ้วขมวดแล้วแหงนมองฟ้า “ ‘สิ่งที่อยากจะให้เป็นจริงในชีวิตนี้’ งั้นเหรอ… อ่าาา ก็น่าจะหมายความว่าอย่างนั้นมั้ย?”
พี่โฮซอกที่อยู่ด้านหน้าพวกเราพลิกมือถือให้ดูพลางเข้าร่วมวงสนทนา “ถ้าจากคำจำกัดความในพจนานุกรมแล้วล่ะก็ ความฝันคือ 1, สถานการณ์ระหว่างที่เรานอนหลับซึ่งเรามองเห็น หรือได้ยินราวกับเรากำลังตื่นอยู่… 2, ความปรารถนาหรืออุดมคติที่อยากจะให้เป็นจริง… 3, ความคาดหวังหรือความคิดอันว่างเปล่า ไม่มีโอกาสที่จะเป็นจริงได้เลยสักนิด”
“ความหมายที่ 3 นี่มันไม่แปลกไปหน่อยเหรอ? ทั้ง ๆ ที่ไม่มีโอกาสจะเป็นไปได้ แต่ก็ยังเรียกว่าความฝัน” พี่โฮซอกได้ตอบกลับคำพูดนั้นของใครสักคน “ ‘ตื่นจากฝันซะที!’ มันมีคำพูดแบบนี้อยู่ไม่ใช่หรือไง เพราะงั้น ถ้าเราคิดที่จะกลับบ้านก่อนที่จะไปถึงโขดหิน มันก็จะกลายเป็นว่า ‘ตื่นจากฝันซะที!’ ยังไงล่ะ”
พี่ ๆ หลายคนปล่อยเสียงหัวเราะออกมา แต่ทว่ามันเป็นเสียงหัวเราะที่ดูไม่สุขสันต์เอาซะเลย อีกอย่างการโต้ตอบนี่ไม่มีเลย “มันแปลก ๆ เนอะ อะไร ๆ ก็เรียก ‘ความฝัน’ ไปซะหมด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่อยากจะให้เป็นจริงในช่วงชีวิตนี้ หรือเรื่องที่ไม่มีโอกาสที่จะเป็นจริงได้เลย” พี่ยุนกิพูดยิ้ม ๆ “ ‘ความฝัน’ มันก็คือสิ่งสำคัญที่ต่อให้รู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ แต่เราก็ยอมแพ้ไม่ได้เช่นกัน ไม่ใช่เหรอ… แต่จะว่าไปนะ นายน่ะ ไม่ต้องมีความฝันหรอก” ผมหันไปมองพี่เขา “ทำไมเหรอครับ?” ผมไม่รู้ว่าพี่เขารู้สึกถึงสายตาของผมหรือเปล่า แต่พี่ที่เผลอแป๊ป ๆ ก็กัดเล็บนั้นได้เอานิ้วล้วงเข้าไปในกระเป๋าและพูดเรื่อยเปื่อยราวกับไม่ได้มีอะไรสลักสำคัญ “ก็ถ้ามีความฝันเมื่อไร มันจะยุ่งยาก”
ผมรู้สึกติดใจอยู่ว่าทำไมพี่เขาถึงต้องกัดเล็บ แต่ผมก็ไม่ได้ถามอะไรออกไป กลับกัน ผมดันก้มหน้ามองไปยังนิ้วมือของตัวเอง ที่มันมีแผลเล็ก ๆ อยู่ตามนิ้วแบบนี้ก็เพราะนิสัยตั้งแต่เด็ก ผมไม่รู้หรอกนะว่านิสัยนี่มันเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไร แต่เท่าที่ผมจำได้ก็คือ มีวันหนึ่ง มันเป็นวันที่ผมใช้มีดคัตเตอร์กรีดนิ้วตัวเอง หลังจากความรู้สึกเจ็บปวดที่ทำเอาผมแทบจะเป็นลมได้ผ่านพ้นไป เลือดสีแดงฉานก็ไหลทะลักออกมา มันเป็นความรู้สึกเจ็บ ๆ แสบ ๆ ชา ๆ พอไปโรงพยาบาลก็ถูกเย็บไปหลายเข็ม จากนั้นก็ตามมาด้วยการฆ่าเชื้อและพันผ้าพันแผล ต่อหน้าหมอ แม่ก็มีท่าทางที่โอเวอร์เกินจริง แต่พอกลับถึงบ้านแม่ก็ไม่ทำกับข้าวให้ผม ไม่จัดยาอะไรให้ผมเลย ผมไม่ได้ไม่พอใจอะไร เพราะหลังจากที่พ่อหนีหายออกจากบ้านไป แม่ก็กลายเป็นสภาพนี้
แผลของผมหายช้า นั่นเป็นเพราะผมใช้เล็บแกะแผลไปหลายครั้ง และทุก ๆ ครั้งที่ทำแบบนี้ความเจ็บปวดก็จะวิ่งขึ้นมาเป็นริ้ว ๆ มีบางครั้งที่เจ็บจวนเจียนจะร้องไห้ แต่ว่ามันดันถูกตรึงไว้ด้วยความรู้สึกเหม่อลอย แม้แต่ตอนนี้ผมเองก็เหม่อลอยบ่อยมาก รู้สึกราวกับเรื่องทุกอย่างบนโลกใบนี้มันไม่มีความหมายอะไรเลย มันอ่อนล้าไร้เรี่ยวแรงไปเสียหมด
“อีกนานมั้ยกว่าจะถึงอ่ะ?” พอพี่แทฮยองถามขึ้น สีหน้านิ้วคิ้วขมวดก็ลอยเด่นบนใบหน้าของพี่โฮซอก “แปลกแฮะ ทั้ง ๆ ที่มันน่าจะเป็นตรงนี้นี่นา” ทุกคนหยุดยืนอยู่กับที่และหันไปมองรอบข้าง ภายใต้ท้องฟ้ามีเพียงแค่เสียงคลื่นน้ำกระเซ็นกระทบฝั่งเท่านั้น บรรดาเม็ดทรายหลากหลายหมื่นที่ถูกปลายเท้าของพวกเราแตะสบัด มันกระจัดกระจายเป็นผงเล็ก ๆ โขดหิดใหญ่ยักที่เราเห็นในภาพนั้นไม่มีอยู่เลย
“เราลองเดินไปกันอีกนิดดีมั้ย?” “เดินอีกก้าวก็ไม่ไหวแล้ว” “ท้องก็หิว คอก็แห้ง” พี่จีมินถอนหายใจออกมาเบา ๆ และประโยคสนทนาเหล่านั้นก็ถูกปล่อยผ่านไป พี่แทฮยองที่ชะโงกหน้าไปมองหน้าจอโทรศัพท์มือถือของพี่จีมินแล้วทำสีหน้าว่างเปล่า พลางเตะก้อนหิน พี่จีมินเริ่มอ่านหัวข้อข่าวนั่น “ที่หาดแห่งนี้มีโครงการที่จะทำรีสอร์ทหรู แต่เนื่องจากทางฝั่งผู้ก่อสร้างบอกว่ามันจะไปบดบังทัศนียภาพของแขกที่อยู่ชั้น 1, 2 ก็เลยจัดการระเบิดโขดหินนั้นทิ้งไปเลย” พวกผมหันมองรอบข้างพร้อม ๆ กัน ที่สุดชายฝั่งที่อยู่ไกล ๆ นั้นมีเทปสีเหลืองขึงอยู่เพื่อให้รู้ว่าเป็นพื้นที่เพื่อการพัฒนา และด้านหลังนั่นก็มีเครื่องขุดเจาะขนาดใหญ่ตระหง่านอยู่ ซึ่งมีป้ายบ่งชี้ว่า “มีกำหนดการก่อสร้างทำนบกั้นคลื่น”
“เหมือนว่าจะตรงนี้ไม่ผิดแน่” พี่โฮซอกใช้ปลายรองเท้าสนีคเกอร์เตะเข้าไปที่ทรายในขณะที่พูด บางที เม็ดทรายที่มันกระจัดกระจายอยู่ตรงปลายเท้า อาจจะเป็นเศษของโขดหินก็เป็นได้ “ไม่หรอก มันจะมีได้ยังไงโขดหินที่ทำให้ฝันเป็นจริงน่ะ” พี่นัมจุนพูดพลางจบไหล่พี่โฮซอก “อีกอย่าง ความฝันก็ไม่มี” “หรือต่อให้มีก็ไม่มีเปอร์เซ็นที่มันจะเป็นจริงได้” “สำหรับพวกเราแล้วความฝันมันคืออะไรกันนะ” ทุกคนค่อย ๆ พูดกลับไปกลับมา เพราะตอนนี้พวกเราก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรกันแล้ว พละกำลังของพวกเราเหือดแห้ง ไม่ใช่ว่าพวกผมกำลังคาดหวังอะไรที่ยิ่งใหญ่ แต่ทว่า เราไม่เคยคาดคิดถึงสิ่งเหล่านี้กันเลยต่างหาก
“อย่ามีเลย ความฝันน่ะ มันยุ่งยาก” และพี่ยุนกิที่พูดอะไรแบบนี้ออกมาก็คงจะเหมือนกันสินะ พี่เขาเหม่อมองทะเล แต่ก็ยังกัดเล็บอยู่ พลางทำหน้าราวกับไม่รู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ “พี่ครับ” พี่เขาหันมาตามเสียงของผม “กัดเล็บน่ะ… หยุดเถอะครับ…” เสียงของผมดันถูกกลบไปด้วยเสียงอันดังบางอย่างที่เสียดแก้วหู พวกผมหันไปยังต้นเสียงพร้อมกัน ดูเหมือนว่าการดำเนินการก่อสร้างได้เริ่มขึ้นแล้ว บรรยากาศรอบข้างสั่นไหวอย่างรุนแรงอันเนื่องจากเสียงที่ดูเหมือนว่าก้อนหินใหญ่ยักษ์ได้ถูกกระแทก
พี่ยุนกิทำหน้าเครียดพลางผลักไหล่ผม “นายพูดว่าไงนะ?” ปากของพี่เขาอ้ากว้าง “กัดเล็บน่ะ… อย่าทำเลยครับ” ผมทำมือป้องปากเป็นวงกลมแล้วตะโกนออกไป แต่ดูเหมือนว่าพี่เขาจะไม่ได้ยิน เพราะพี่เขาขมวดคิ้วแล้วส่ายหน้า ผมตั้งท่าจะตะโกนอีกรอบแต่ว่าพี่เขาไม่กัดเล็บแล้ว ผมมองข้ามไหล่พี่เขาไปยังทะเล ที่พื้นเท้าของพวกเรามีเม็ดทรายจำนวนมาก ทั้ง ๆ ที่โขดหินเก่าแก่มีขนาดใหญ่พอ ๆ กับความฝันของมนุษย์ที่มันสามารถกลายเป็นจริงได้… แต่ ณ ตอนนี้มันดันกลายเป็นเพียงก้อนหินเล็ก ๆ เท่านั้น “พี่รู้สึกหมดหวังกับโลกใบนี้ไหมครับ?” ผมถาม ภายใต้เสียงอันดังของเครื่องจักรราวกับจะเขย่าแกนโลก มันไม่มีทางเลยที่จะได้ยินเสียงของผม และก็จริง ๆ ด้วย สีหน้าที่ลอยขึ้นมาของพี่ยุนกินั่นคือพี่เขาไม่ได้ยิน ผมตะโกนไปอีกครั้ง “พี่เองก็รู้สึกสิ้นหวังกับโลกใบนี้แล้วใช่ไหมครับ?” ในครั้งนี้เหมือนพี่เขาตอบอะไรสักอย่างกลับมาแต่เป็นฝั่งผมเองที่ไม่ได้ยิน พอผมส่ายหน้าพี่เขาก็ตะโกนอะไรสักอย่างอีกรอบ และเป็นพี่โฮซอกกับพี่ซอกจินที่มองดูท่าทางของพวกเราแล้วก็หลุดขำ ถึงผมจะไม่ได้ยินเสียงอะไรเลยแต่ว่าการอ้าปากกว้าง ๆ อย่างนั้นก็สามารถทำให้ผมรับรู้ได้ว่าพวกเขากำลังหัวเราะ
เผลอแป๊ป ๆ พวกเราก็หันหน้าเข้าหาทะเลแล้วก็ตะโกน พี่โฮซอกเอามือปิดหูพลางอ้าปากกว้างราวกับพยายามจะส่งเสียงแข็งกับเสียงเครื่องจักร แต่หูของผมนั้นไม่ได้ยินอะไรเลย ทั้งพี่แทฮยอง พี่จีมิน พี่นัมจุนเองก็เหมือนกัน พวกผมยืนอยู่กันคนละที่ ที่ใครที่มันและต่างก็ตะโกนคำพูดที่ไม่สามารถส่งไปถึงใครได้ทั้งนั้น ผมยืนอยู่ข้างหลังพี่ยุนกิและพี่ซอกจิน แต่ผมก็เดินล้ำหน้าพี่เขาไป เดินไปจนถึงจุดที่คลื่นจะเข้ามากระทบ พลันก็รู้สึกราวกับถูกชำระล้าง ให้ความรู้สึกสดชื่นและเป็นสุข เสียงของพี่ ๆ ดังผสมปนเปกัน กลิ่นของทะเลที่มีกลิ่นคาวแฝงมาแต่ก็ยังคงรู้สึกสดชื่น หรือแม้แต่ลมที่พัดเข้ามาสัมผัสช่วงปลายนิ้ว ความรู้สึกต่าง ๆ นานาหลอมรวมกันกลายเป็น 1 … ผมเองก็เช่นกัน ตะโกนก้องไปที่ทะเลโดยไม่รู้ตัว ท่ามกลางเสียงเสียดแก้วหูของเครื่องจักร… แม้แต่ตัวผมเอง ผมยังไม่ได้ยินความฝันของตัวเองเลย
ทันใดนั้น เสียงเครื่องจักรก็เงียบหายไปแทบจะทันที พื้นที่รอบข้างเงียบสงัดลงราวกับมีใครสักคนใช้มีดตัดฉับลงมา ชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น แต่ว่าช่างไม่เข้ากับเสียงตะโกนของพวกผมเอาซะเลย พี่แทฮยองหน้าตาตื่นตกใจ รีบหุบปากลง แต่เหมือนพี่เขาจะสำลักเพราะไอคอกแคก เสียงของใครสักคนที่จู่ ๆ ก็ขึ้นโทนเสียงสูง มีเพียงประโยคข้างหลังที่ได้ยินว่า “…. ด้วยเถอะ!!!” มันเป็นคำพูดของพี่ซอกจิน และหลังจากนั้นทุกคนก็ปิดปากเงียบ ช่วงเวลาหนึ่งที่ทุกคนไม่ขยับตัวอะไรเลย แต่หลังจากนั้นก็ปล่อยเสียงหัวเราะออกมาพร้อม ๆ กัน พวกผมต่างก็ยกนิ้วขึ้นชี้กันเป็นการแหย่ กลังจากนั้นก็กุมท้องหัวเราะงอหาย
“มาถ่ายรูปของที่นี่กันเถอะ” พวกผมตอบรับกับคำพูดของพี่ซอกจิน พวกผมยืนเรียงกันหันหลังให้ทะเล พี่เขาตั้งเวลากล้องและวิ่งเข้ามาในเฟรม ทันทีที่เสียงแชะของกล้องดังนั้น นั่นหมายความว่าความสดใสในวันแรกของหน้าร้อนอันอบอ้าวได้ถูกสลักลงไปในภาพถ่ายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ขากลับรู้สึกว่าจะใช้เวลาน้อยกว่าตอนที่ไป พอคิดว่าเดินมาได้สักครึ่งทาง ก็เจอกับร่มชายหาดที่พวกผมวางทิ้งไว้ และถ้าเดินไปอีกหน่อยก็จะเจอกับสถานีรถไฟ
“พี่ครับ ภาพนั้นผมขอได้ไหม?” พี่ซอกจินควักภาพโพลาลอยออกมาจากกระเป๋า พร้อมทั้งเขียนข้อความไว้ว่า “วันที่ 12 มิถุนายน” … “ความฝันที่นายตะโกนออกไป มันต้องเป็นจริงแน่นอน” ผมเงยหน้ามองพี่เขา “พี่ได้ยินเหรอครับว่าผมพูดอะไรออกไป?” พี่เขาไม่ตอบอะไรผมแต่กลับตบบ่าผมลงมาหนึ่งครั้งก่อนที่จะเดินนำหน้าผมไป
Translate by : Ministry of INFINITY
Book : 花様年華 The Notes 1 Japanese version
ซอกจิน
25 JUN 2019
ที่ห้องเรียนซึ่งเป็นโกดังนั้นไม่มีใครอยู่เลย ไม่ใช่ว่านัดใครไว้หรอก แต่ว่าโดยปกติแล้วเมื่อเปิดประตูเข้าไปก็มักจะพบใครสักคนอยู่ในห้อง ทุก ๆ ครั้งมันสนุกสนานครื้นเครง วันไหนที่ไม่มีใครอยู่ วันนั้นจะแปลกพิกลมาก พอเข้าไปข้างใน ผมก็เจอกับกระถางต้นไม้ 1 กระถาง ผมเจอมันวางอยู่ใต้ขอบหน้าต่าง ใครกันนะที่ดูท่าว่าจะถือเจ้ากระถางนี้มา ห้องเรียนแห่งนี้มืดมิดไปหมดนั่นก็เพราะว่าไม่ได้เปิดไฟนั่นเอง เมื่อผมผ่านเข้ามาในห้องทางหน้าต่างที่สกปรกเหล่านั้น ภายใต้แสงสลัว ใบไม้สีเขียวกลับดูแปลกตาออกไป ผมควักเอามือถือออกมาแล้วกดถ่ายภาพ และเป็นอย่างที่คิด ถ่ายภาพอะไรไม่ได้เลย ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องปรกตินั่นแหละ ภาพถ่ายน่ะไม่สามารถจับในสิ่งที่ดวงตามนุษย์เห็นได้
…เมื่อผมเดินเข้าไปข้าง ๆ ก็เห็นตัวอักษร “ㅎ” จากใต้กระถางต้นไม้… ผมยกกระถางนั้นขึ้น, และประโยค “กระถางต้นไม้ของโฮซอก” ก็ปรากฎแก่สายตาของผม, ผมหัวเราะออกมาเบา ๆ, ถ้าจะถามว่าในบรรดาน้อง ๆ ใครกันที่จะถือกระถางต้นไม้ขึ้นมาล่ะก็ คำตอบก็มีเพียงแค่โฮซอกเท่านั้นแหละ, ผมวางกระถางต้นไม้ลง โดยจงใจให้มันซ่อนตัวอักษร “ㅎ” เอาไว้ จากนั้นก็มองไปยังบรรยากาศรอบข้าง จนถึงตอนนี้ถึงผมจะไม่ได้รู้สึกตัวอะไรเลยสักครั้ง แต่ว่าที่ขอบหน้าต่างมีร่องรอยของการขีดเขียนอยู่ ไม่ใช่แค่ขอบหน้าต่างนะ ตามฝาผนังก็มี หรือแม้แต่บนเพดานก็ยังมีรอยขีดเขียน, ไม่ว่าจะเป็นคำอย่าง “ถ้าสอบไม่ผ่านคือตายแน่นอน”, ชื่อของรักแรก, วันที่, และชื่ออีกนับไม่ถ้วนที่ไม่สามารถอ่านตัวอักษรได้แล้วในตอนนี้
ห้องเรียนนี้แรกเริ่มเดิมทีไม่น่าจะใช่ห้องเก็บของใช่มั้ยล่ะ การที่เด็ก ๆ มาโรงเรียนในทุก ๆ วัน แน่นอนล่ะ มันก็ต้องมีการเรียนการสอนเกิดขึ้น แล้วพอตกบ่าย ห้องก็จะว่าง… และช่วงที่ปิดเรียน ห้องมันก็จะว่างตลอด จนกระทั่งในพิธีเปิดภาคเรียน เด็ก ๆ ก็มารวมตัวกันและส่งเสียงจอแจ… ในตอนนั้นก็มาสายและถูกทำโทษจนได้ เด็กที่โดดเรียนอย่างพวกผมนี่มันมีอยู่จริง ๆ นะ…
ทั้งครูที่ไม่ฟังอะไร เอาแต่ลงโทษ ทั้งการสอบที่ไม่มีวันสิ้นสุด ทั้งการบ้าน ของอะไรพวกนี้มันมีอย่างนั้นเหรอ… แล้วมนุษย์อย่างผมเองก็มีอยู่อย่างนั้นเหรอ… มนุษย์ที่เอาเรื่องของเพื่อนพ้องไปเล่าให้ครูใหญ่ฟังอย่างผม
และผมก็นึกในใจขึ้นมาว่าจะมีชื่อพ่อของผมหรือเปล่านะ… ที่ตรงนี้เป็นโรงเรียนเก่าของพ่อ… พ่อก็คือคนที่เชื่อในเรื่องของการสืบทอดยุคสมัย เข้าเรียนโรงเรียนมัธยมปลายเดียวกัน เชื่อในเรื่องของการเข้าเรียนมหาวิทยาลัยเดียวกันเพื่อที่จะสร้างเกียรติให้กับครอบครัวตระกูลอันเก่าแก่ ผมใช้สายตาไล่ดูชื่อทีละชื่ิอ ๆ และผมก็เจอในที่สุด ตรงกลางของผนังด้านซ้าย, ท่ามกลางชื่ออื่น ๆ มากมาย, และด้านล่าง ก็มีข้อความพวกนี้เขียนเอาไว้ว่า “ทุกอย่างมันเริ่มต้นจากที่นี่”
Translate by : Ministry of INFINITY
Book : 花様年華 The Notes 1 Japanese version
แทฮยอง
20 MAR 2020
ผมวิ่งตึงตังลงไปตามทางเดิน จากนั้นก็เบรกกระทันหันคล้ายจะเกิดเสียงเอี๊ยด! ผมมองเห็นนัมจุนฮยองยืนอยู่ด้านหน้า “ห้องเรียนของเรา”… ห้องเรียนของเรา…พวกเราใช้เรียกห้องเรียนที่เป็นโกดังแห่งนี้ มันเป็นห้องเรียนของผมและพี่ ๆ และจีมิน, จองกุก ห้องเรียนของพวกเรา 7 คน ผมกลั้นหายใจและค่อย ๆ เดินเข้าไปหา ผมกะว่าจะทำให้พี่เขาตกใจเล่น ๆ
“อาจารย์ใหญ่!” มันเป็นช่วงระยะเวลาประมาณ 5 ก้าว ผมก็ได้ยินเสียงที่คล้ายกับเสียงของจินฮยองลอยออกมาจากหน้าต่างห้องเรียนที่ถูกเปิดทิ้งไว้ ผมหยุดเดินทันที ตอนนี้พี่จินกำลังคุยอยู่กับอาจารย์ใหญ่งั้นเหรอ? ที่ “ห้องเรียนของเรา”? แล้วทำไมกัน? บทสนทนาดำเนินต่อไปและผมได้ยินชื่อของพี่ยุนกิและชื่อของผม ผมเห็นพี่นัมจุนสูดหายใจลึกราวกับตื่นตกใจเป็นอย่างมาก ผมไม่รู้ว่าพี่ซอกจินรับรู้ถึงเรื่องนี้หรือเปล่า พี่เขาถึงได้รีบเปิดประตูพรวดออกมา ที่มือของพี่ซอกจินนั้นถือโทรศัพท์มือถืออยู่ ใบหน้าของพี่เขาบ่งบอกอาการช็อคและลนลานได้เป็นอย่างดี
ผมแอบซ่อนและจับตามองดูสถานการณ์ต่อไป พอพี่ซอกจินตั้งท่่าจะพูดแก้ต่างอะไรสักอย่าง พี่นัมจุนก็ขัดขึ้น “ไม่เป็นไรครับ พี่จะต้องมีเหตุผลอะไรสักอย่างแน่นอนถึงได้พูดอย่างนั้นออกไป” ไม่น่าเชื่อเลยว่าพี่ซอกจินจะเล่าเรื่องของผมและพี่ยุนกิที่ไปทำอะไรสักอย่างเมื่อหลายวันก่อนให้อาจารย์ใหญ่ฟังจนหมด ไม่ว่าจะเรื่องที่หนีตัวปลิวออกไปจากคลาสเรียน…หรือแม้กระทั่งเรื่องที่ไปมะรุมมะตุ้มกับเด็กนักเรียนคนอื่น พี่เขาเล่นเล่าหมดไปซะทุกอย่าง แต่…พี่นัมจุนกลับพูดว่า ไม่เป็นไร
“มาทำอะไรที่นี่เหรอ?” ผมตกใจหันควับไปมองและพบว่าเป็นพี่โฮซอกและพี่จีมิน พี่โฮซอกทำหน้าคล้ายจะบอกว่า คนที่ตกใจน่าจะเป็นฝั่งฉันมั้ย?… จากนั้นก็เอามือมาวางไว้บนไหล่ของผม ผมถูกพี่ลากเข้าไป ในขณะที่กำลังลนลาน รู้สึกตัวอีกที ก็เข้ามาอยู่ในห้องเรียนแล้ว ทั้งพี่นัมจุนและพี่ซอกจินหันมามองพร้อมกัน พอพี่นัมจุนเห็นหน้าผมก็หัวเราะออกมาราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น นั่นยิ่งทำให้รู้สึกกังวล ที่พี่นัมจุนทำแบบนั้นต้องมีเหตุผลแน่นอน นั่นก็เพราะว่าพี่เขารู้อะไรมากกว่าผมเสมอ ๆ… สมองดีกว่าผม… เป็นผู้ใหญ่มากกว่าผม และเพราะที่นี่เป็น “ห้องเรียนของเรา”… ในตอนที่ผมหัวเราะ ปากของผมจะเป็นรูปสี่เหลี่ยม และทุกคนก็ชอบล้อกันในจุดนี้ แต่เพราะจุดบ้า ๆ จุดนี้แหละที่ทำให้ผมและพี่ ๆ สนิทกัน ผมเคยตั้งใจไว้ว่าจะไม่บอกใครเรื่องที่ผมได้ยินบทสนทนาระหว่างพี่เขาทั้งสอง
Translate by : Ministry of INFINITY
Book : 花様年華 The Notes 1 Japanese version
นัมจุน
15 MAY 2020
ผมเดินตัดห้องเรียนที่เป็นโกดังซึ่งเป็นสถานที่ที่เป็นห้องลับของพวกเราในยามที่พวกเราไม่มีที่จะไป ผมจัดการตั้งเก้าอี้ แล้วก็ไปยกโต๊ะที่ล้มอยู่ให้มันตั้งตรง พอใช้มือปัดกันไปมาฝุ่งกระฟุ้งกระจาย วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่ผมจะอยู่ที่นี่แล้วล่ะครับ เมื่อ 2 สัปดาห์ก่อนหน้านี้ผมได้มีแผนการแล้วว่าจะย้าย เรื่องโรคแทรกซ้อนของพ่อไม่ใช่ภาระที่ผมจะต้องรับผิดชอบ ค่าเช่าบ้านก็ค้างจ่ายมาเนิ่นนาน แค่ค่าจ้างจากการเป็นเด็กปั้ม หรือเงินจากเพื่อนบ้านผู้ใจดีมันไม่เพียงพอที่จะทำอะไรได้ แต่เพราะเงินค้ำประกันมันน้อยมาก เพราะงั้นก็ต้องทำงานกันไป
ผมพับกระดาษลงครึ่งหนึ่งแล้ววางไว้บนโต๊ะ หยิบดินสอขึ้นมา ผมไม่รู้ว่าผมควรจะเขียนอะไรทิ้งไว้ นี่เวลาผ่านไปนานแค่ไหนแล้วนะ ในขณะที่ผมกำลังเขียนนั่นเขียนนี่อยู่นั้น ไส้ดินสอก็ดันหักซะได้… “ฉันต้องมีชีวิตรอด” ไส้สีดำของดินสอหักและตกลง ในมุมที่ยังเหลือช่องว่างอยู่นั้น ผมเขียนคำเหล่านั้นขึ้นมาอย่างไม่รู้สึกตัว
ผมขยำกระดาษแล้วยัดเข้าในกระเป๋า ลุกขึ้นจากเก้าอี้ พอมือกดลงที่โต๊ะก็พบว่าฝุ่นฟุ้งกระจายไปทั่ว จริง ๆ ผมคิดว่าจะออกไปทั้งอย่างนั้นแหละ แต่ผมก็ดันเดินไปพ่นลมหายใจที่หน้าต่างแล้วเหลือสิ่งนี้ทิ้งไว้ ไม่ว่าจะเป็นคำทักทายแบบไหนมันก็ไม่เพียงพอ แต่ผมคิดว่า ไม่ต้องพูดอะไรก็น่าจะสื่อได้ทั้งหมด “แล้วเจอกันนะ” มันเป็นคำวิงวอนมากกว่าที่จะเป็นคำสัญญา
Translate by : Ministry of INFINITY
Book : 花様年華 The Notes 1 Japanese version
จองกุก
25 JUN 2020
พอผมลูบไปตามแป้นเปียโนก็พบฝุ่นติดขึ้นมาตามนิ้ว ผมลองลงแรงไปที่ปลายนิ้ว แต่เสียงที่ดังออกมาไม่เหมือนเสียงที่พี่ยุนกิเคยดีดเลย ตอนนี้พี่เขาก็ไม่ได้มาที่โรงเรียนมากกว่า 2 สัปดาห์แล้ว วันนี้ในที่สุดผมก็ได้ยินข่าวลือที่ว่าพี่เขาถูกไล่ออก พี่โฮซอกไม่ได้บอกอะไรผมเลย แต่ก็อย่างว่า เพราะผมเองก็ไม่ได้ถามอะไรพี่เขาไป
วันนั้นเมื่อ 2 สัปดาห์ที่แล้ว ในตอนที่อาจารย์ใหญ่เข้ามา ในห้องเรียนที่เป็นโกดังนั้นมีเพียงผมกับพี่ยุนกิเท่านั้น มันเป็นวันประชุมผู้ปกครอง และเพราะพวกผมไม่รู้ว่าจะอยู่ในห้องเรียนทำไม ด้วยจุดประสงค์ไหน ก็เลยมาอยู่ที่ห้องลับกัน พี่ยุนกิไม่ได้หันมามองผม พี่เขาเล่นเปียโนอยู่อย่างนั้น ผมเอาโต๊ะ 2 ตัวมาเรียงกันแล้วล้มตัวลงนอน ผมแกล้งทำเป็นหลับไปงั้นแหละ ผมชำเลืองมองพี่เขาและเปียโน ดูไม่ค่อยเข้ากันเท่าไร แต่ว่า ก็ดูจะแยกออกจากกันไม่ได้ มันเหมือนหลอมรวมเป็นร่างเดียวกัน เวลาผ่านไปนานเท่าไรแล้วนะ แต่แล้วประตูก็เปิดออก เสียงกระแทกดังลั่นราวกับใครสักคนตั้งท่าจะพังมัน ซึ่งในเวลาเดียวกันนั่นเองที่เสียงเปียโนเงียบลง
ผมถูกต่อยเข้าที่แก้ม ร่างกายเซถลาไปด้านหลังและล้มลงในที่สุด ผมหดตัวพลางอดทนต่อคำก่นด่า ทันใดนั้นเอง เสียงที่ก่นด่าผมอยู่เงียบลง เมื่อผมเงยหน้าขึ้นมองก็เป็นพี่ยุนกิกดไหล่ของอาจารย์ใหญ่ พี่เขามายืนอยู่หน้าผม ผมมองข้ามไหล่ของพี่ยุนกิไปก็พบกับใบหน้าอันงุนงงของอาจารย์ใหญ่
ผมลองกดแป้นเปียโนอีกครั้ง ลองเล่นเพลงที่พี่เขาเคยเล่น นี่พี่ยุนกิถูกไล่ออกจากโรงเรียนจริง ๆ เหรอ? เราจะไม่ได้กลับมาเจอกันอีกเป็นครั้งที่สองงั้นเหรอ? พี่ยุนกิเคยบอกผมว่า ไม่ว่าจะเป็นเรื่องถูกต่อย หรือถูกเตะ สำหรับพี่เขาแล้ว เป็นเรื่องที่มีอยู่บ่อยครั้ง ถ้าไม่มีผมอยู่แล้วล่ะก็ พี่ยุนกิก็คงไม่ต้องไปสู้กับอาจารย์ใหญ่ ถ้าไม่มีผมอยู่แล้วล่ะก็ ณ วินาทีนี้ พี่ยุนกิก็น่าจะยังคงเล่นเปียโนอยู่ ณ ที่แห่งนี้
Translate by : Ministry of INFINITY
Book : 花様年華 The Notes 1 Japanese version
ยุนกิ
25 JUN 2020
ทันทีที่ผมเปิดประตูเข้ามาในห้อง ผมก็คว้าเอาซองจดหมายที่วางอยู่ในลิ้นชักล่างสุดของโต๊ะออกมา เปิดซองจดหมาย ล้วงเอาแป้นเปียโนที่ไหม้ไฟไปครึ่งหนึ่งแล้วโยนลงในถังขยะก่อนที่จะเอนตัวนอนบนเตียง ความรู้สึกหงุดหงิดของผมไม่ได้เย็นลงเลย ลมหายใจรุนแรงไม่สามารถทำให้มันสงบลงได้
หลังจากเสร็จสิ้นงานศพ ผมก็ได้ไปยังบ้านที่ถูกเผาไหม้วอดวายเพราะเหตุเพลิงไหม้คนเดียว ที่มุมหนึ่งในสถานที่ที่เคยเห็นห้องของแม่พบเปียโนที่เหลือรูปทรงอยู่บ้างจากไฟไหม้ล้มอยู่ ผมเข้าไปนั่งจิตตกอยู่บริเวณนั้น แสงแดดที่สาดส่องเข้ามาทางหน้าต่างอ่อนแรงลง เมื่อผมเงยหน้าขึ้น ในจุดที่ไม่ใกล้ไม่ไกล ผมก็พบกับแป้นเปียโนจำนวนหนึ่งกระจัดกระจายอยู่ มันเป็นแป้นเปียโนที่ให้เสียงไหนกันนะ นิ้วมือของแม่สัมผัสแป้นพวกนี้บ่อยแค่ไหน… ผมลุกขึ้น แล้วกับแป้นเปียโน 1 ตัวเข้ากระเป๋า
นี่ก็ผ่านมา 4 ปีแล้วนับตั้งแต่วันนั้น ภายในบ้านเงียบสงัด มันเป็นความเงียบที่ยากจะทานทน เนื่องจากตอนนี้มันเลย 4 ทุ่ม พ่อน่าจะหลับไปแล้ว หลังจากที่พ่อหลับไปแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างภายในบ้านจะต้องเงียบสงัด นี่เป็นกฎของบ้านหลังนี้ ซึ่งผมก็ไม่ค่อยเก่งเท่าไรกับการที่จะต้องทนกับความอ้างว้างโดดเดี่ยวนี้ อีกทั้งเรื่องที่จะต้องรักษากฎระเบียบและแบบแผนของบ้านหลังนี้ตามแต่ละช่วงเวลาก็เป็นสิ่งที่ผมไม่ถนัดเอาซะเลย แต่ทว่า สิ่งที่ผมไม่สามารถทานทนได้เลยจริง ๆ นอกเหนือไปจากที่กล่าวมาก็คือความจริงที่ว่าผมยังคงอาศัยอยู่ที่บ้านหลังนี้ต่อไป ต่อให้ผมจะรับเงินค่าขนมจากพ่อ จะกินข้าวกับพ่อ จะถูกพ่อดุด่า เราทะเลาะกัน เรามีเรื่องไม่ลงรอยกัน แต่ผมก็ยังไม่มีความกล้ามากพอที่จะทิ้งพ่อ แล้วหนีไปใช้ชีวิตอันอิสระแค่คนเดียว
ผมเดินไปเก็บแป้นเปียโนจากถังขยะที่อยู่ใต้โต๊ะ พอเปิดหน้าต่างออก ความมืดด้านนอกก็ไหลทะลักเข้ามาอย่างรุนแรง เหตุการณ์ในวันนี้ทั้งวันไหลพรั่งพรูเข้ามาราวกับจะเข้ามาต่อยแก้มผม ผมขว้างแป้นเปียโนออกไปสู่อากาศยามมืดค่ำด้านนอกสุดแรง ตอนนี้ก็เป็นเวลา 2 สัปดาห์แล้วที่ผมไม่ได้ไปโรงเรียน ผมรู้เรื่องที่ถูกตัดสินให้ออกจากโรงเรียนแล้ว หลังจากนี้คงไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องไปตั้งความหวังว่าขอให้ตัวเองถูกไล่ออกจากบ้านหลังนี้หรอก เพราะยังไงก็น่าจะถูกไล่ออกอยู่แล้วแน่ ๆ ผมไม่ได้ยินเสียงแป้นเปียโนตกกระทบพื้น ในตอนนี้ มันไม่มีวิธีไหนแล้วที่จะทำให้รู้ว่าก่อนหน้านี้เจ้าแป้นตัวนั้นเคยให้เสียงโน๊ตตัวไหน ต่อให้เวลาจะผ่านไปนานเท่าไร เจ้าแป้นตัวนั้นก็จะไม่ส่งเสียงออกมาอีกแล้ว และผมเองก็คงจะไม่เล่นเปียโนอีกเป็นครั้งที่สอง
Translate by : Ministry of INFINITY
Book : 花様年華 The Notes 1 Japanese version
ซอกจิน
17 JUL 2020
เมื่อเดินออกมาที่บริเวณด้านหน้าประตูของโรงเรียนเสียงจักจั่นก็ดังสนั่นลั่นหู ที่สนามกีฬามีเสียงหัวเราะเจี๊ยวจ้าวเนื่องจากกำลังเล่นวิ่งแข่งกัน เพราะวันหยุดฤดูร้อนกำลังจะเริ่มขึ้น ถึงได้ทำให้ทุกคนสดใส ผมเดินก้มหน้าผ่านเหล่าเด็กนักเรียนพวกนั้น อย่างน้อย ๆ ก็อยากจะรีบออกจากโรงเรียนนี้ได้เร็ว ๆ
“พี่ครับ” เงาของใครสักคนบินหวือตามผมมา… ผมเงยหน้ามอง… เป็นโฮซอกกับจีมินนี่เองเขายังคงมีใบหน้าเปื้อนยิ้มอยู่เหมือนเดิมและพวกเขาก็มองผมด้วยแววตาขี้เล่น “ทั้งๆที่วันหยุดฤดูร้อนจะเริ่มตั้งแต่วันนี้แล้วพี่จะกลับไปทั้งอย่างนี้หรอครับ?” โฮซอกพูดพลางยื่นแขนเข้ามาผมเผลอพูดคำไม่มีความหมายอย่าง “อ่าาาา” ออกไปก่อนที่จะเงียบและเมินหน้าหนี
วันนั้น… เรื่องที่เกิดขึ้นมันเป็นอุบัติเหตุอย่างเห็นได้ชัดผมไม่ได้ตั้งใจจะทำในตอนนั้นผมไม่คิดเลยว่าจองกุกกับยุนกิจะอยู่ในห้องเรียนที่เป็นโกดังนั่นอาจารย์ใหญ่ส่งสัยว่าผมจะซ่อนน้องๆไว้ในห้องนั่นซึ่งเขาบอกกับผมว่าเขาอาจจะต้องบอกพ่อว่าผมไม่ได้เป็นเด็กดีอะไรเลยซึ่งผมก็ไม่สามารถที่จะแก้ต่างอะไรได้ทำไมผมถึงได้บอกเรื่อง ‘ห้องลับ’ ออกไปน่ะเหรอ… ก็เพราะว่าผมคิดว่ามันไม่มีใครอยู่ไงแต่ในท้ายที่สุดเรื่องมันก็บานปลายไปจนถึงยุนกิถูกไล่ออก… ไม่มีใครรู้ว่าผมมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ด้วย
“ขอให้มีช่วงวันหยุดฤดูร้อนที่สนุกสนานนะครับพี่! แล้วก็ติดต่อมาบ้างนะครับ” ไม่รู้ว่าเขารับรู้ถึงอารมณ์ของผมที่ก้มหน้าอยู่หรือเปล่าโฮซอกถึงได้ปล่อยมือจากผมแล้วทักทายผมด้วยใบหน้ายิ้มแย้มสุดๆแต่ผมก็ไม่ได้ตอบอะไรเขาไปเลยไม่มีคำพูดไหนที่ผมจะเอื่อนเอ่ยออกไปได้พอผมเดินออกจากประตูโรงเรียนผมก็นึกถึงวันแรกที่ผมมาที่นี่มันเป็นวันที่ทุกคนมาโรงเรียนสายแล้วก็โดนทำโทษด้วยกันทั้งหมดเพราะงั้นเราถึงหัวเราะไปด้วยกันได้ไงแต่ช่วงเวลาที่แสนวิเศษเช่นนั้นผมกลับเป็นคนทำลายมันซะไม่เหลือซากทั้งๆที่ใช้ชีวิตอย่างที่พ่อต้องการแล้วแท้ๆ… ทั้งๆที่ตัดสินใจจะไม่คาดหวังถึงความสุขแล้วแท้ๆ… แต่ผมก็ดันทำเกินกว่าสิ่งที่ตัวเองตั้งใจไว้เสียแล้ว
Translate by : Ministry of INFINITY
Book : 花様年華 The Notes 1 Japanese version
โฮซอก
15 SEP 2020
คุณแม่ของจีมินเดินข้ามตัดมายังห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาล เธอมองดูชื่อที่เขียนอยู่ปลายเตียงและขวดน้ำเกลือตามลำดับ ก่อนที่จะยื่นมือออกไปปัดเศษใบไม้ที่อยู่บนไหล่ของจีมินออก ผมค่อย ๆ เข้าไปสวัสดีใกล้ ๆ พลางคิดว่าควรจะบอกเธอว่าทำไมจีมินถึงถูกหามมาโรงพยาบาลนี้ได้ ควรเล่าให้เธอฟังเกี่ยวกับอาการของโรคที่กำเริบขึ้นเมื่อตอนอยู่ป้ายรถเมล์ คุณแม่ของจีมินหันมามองผมราวกับเพิ่งจะรู้ตัวว่ามีผมอยู่ที่นี่ด้วยอีกคน แต่ทว่า ก่อนที่ผมจะได้พูดอะไร เธอก็ชิ่งพูดขอบคุณเสียก่อน หลังจากนั้นก็หลบสายตาไป
หลังจากนั้นคุณแม่ของจีมินมองผมอีกครั้งก็เป็นตอนที่คุณหมอและพยาบาลเริ่มเคลื่อนย้ายเตียงคนไข้ของจีมิน ในตอนที่ผมตั้งท่าจะตามไปด้วย คุณแม่ของจีมินก็กล่าวคำขอบคุณอีกครั้งพลางกดไหล่ของผม จะเรียกว่า “กด” ดีมั้ยนะ… ถ้าจะให้ถูกต้องมันน่าจะเป็นสัมผัสเบา ๆ แล้วชักมือกลับ ทันใดนั้นผมก็รู้สึกว่ามีเส้นที่มองไม่เห็นเกิดขึ้นระหว่างผมและคุณแม่ของจีมิน มันเป็นเส้นกั้นที่แข็งแรงอย่างเห็นได้ชัด มันเย็นชา และมั่นคงยิ่งนัก… มันเป็นเส้นที่ผมไม่สามารถก้าวข้ามได้แน่นอน และด้วยความที่ผมอยู่สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้ามามากกว่า 10 ปี ผมสามารถเข้าใจถึงเส้นแบ่งนั้นได้ด้วยร่างกาย, สายตา และบรรยากาศโดยรอบ
ผมเซถอยหลังอย่างรวดเร็ว แต่ร่างกายของผมก็หงายหลังล้มลงไป คุณแม่ของจีมินจ้องมองผมอยู่ตลอดเวลา สรีระร่างกายของเธอนั้นเล็กและงดงาม แต่ทว่าเงาของเธอกลับยิ่งใหญ่และเย็นชา เงาของเธอค้ำอยู่เหนือหัวของผมที่เซล้มลงไปกับพื้นห้องฉุกเฉิน ในตอนที่ผมเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง เตียงของจีมินก็ถูกเข็นหายออกไปจากห้องฉุกเฉิน ผมมองไม่เห็นเขาแล้ว
Translate by : Ministry of INFINITY
Book : 花様年華 The Notes 1 Japanese version
จองกุก
30 SEP 2020
“จองกุก, นายคงไม่ได้ไปที่นั่นแล้วใช่มั้ย” ผมมองไปที่ปลายรองเท้าสนีคเกอร์นั้นแล้วยืนขึ้น พอผมไม่ตอบอะไร ใบเช็คชื่อนักเรียนก็ฟาดลงมาที่หัวของผม ถึงกระนั้นผมก็ยังไม่ปริปากแม้แต่นิด มันเป็นห้องเรียนที่ผมและพี่ ๆ ต่างก็ใช้เวลาร่วมกัน นับตั้งแต่วันแรกที่ผมก้าวเท้าเข้ามาที่ห้องเรียนนี่ก็ไม่มีวันไหนอีกเลยที่ผมจะไม่มา คิดว่าพี่เขาไม่น่าจะรู้เรื่องนี้ พี่เขาอาจจะมีนัด อาจจะยุ่งเพราะต้องทำงานพิเศษถึงไม่ได้มาที่นี่ อีกอย่าง มีหลายครั้งที่ไม่ได้เห็นหน้าพี่ยุนกิหรือไม่ก็พี่โฮซอกนานมาก ๆ แต่ผมนั่นกลับกันเลย ผมมาที่ห้องเรียนนี่ไม่เคยขาดเลยแม้แต่วันเดียว มีบางวันที่ไม่มีใครมาเลย แต่ผมก็ไม่ได้สนใจอะไรนะ ขอแค่มีห้องเรียนนั่น ต่อให้วันนี้ไม่มาก็เดี๋ยวรอวันพรุ่งนี้ หรือถ้าวันพรุ่งนี้ไม่มา ก็รอวันมะรืนเดี๋ยวพี่เขาก็มาเอง
“เพราะนายเอาแต่คบพวกนั้นใช่มั้ย ในหัวนายถึงจำแต่เรื่องที่ไม่ดี ๆ เนี่ย” ใบเช็คชื่อนักเรียนกระแทกหัวผมอีกครั้ง พอผมเงยหน้าขึ้นมอง มันก็กระแทกลงมาอีก… ผมนึกถึงพี่ยุนกิตอนที่ถูกตีตอนนั้นเลย ผมกัดฟันอย่างอดทน ผมไม่อยากจะโกหกว่าผมไม่ได้ไปที่ห้องเรียนนั่นแล้ว
ตอนนี้ ผมยืนอยู่ที่หน้าห้องเรียน ผมรู้สึกว่าเมื่อผมเปิดประตูเข้าไป จะเจอกับพวกพี่ ๆ… พี่เขาน่าจะมารวมตัวกันแล้วเล่นเกม จากนั้นก็จะหันมามองผมพลางพูดว่า ‘ทำไมถึงมาช้าขนาดนี้!!!’ … พี่ซอกจินกับพี่นัมจุนก็จะอ่านหนังสือ พี่แทฮยองก็จะเล่นเกม พี่ยุนกิก็จะเล่นเปียโน พี่โฮซอกกับพี่จีมินก็จะซ้อมเต้น…
แต่ว่า ในตอนที่ผมเปิดประตู คนที่หันกลับมามองมีเพียงแค่พี่โฮซอก พี่เขาเข้ามาเก็บของของพวกเราที่เหลือทิ้งไว้ในห้องนี้ ผมยืนจับลูกบิดประตูอยู่อย่างนั้น เหมือนคนรากงอกไม่มีผิด พี่โฮซอกขยับเข้ามาใกล้พลางวาดแขนวางไว้บนไหล่ของผมก่อนที่จะพาผมออกมาข้างนอก “ไปกันเถอะ” บานประตูห้องเรียนปิดตามหลัง ผมรู้สึกนะ… ผมรู้สึกว่าวันคืนเหล่านั้นได้ผ่านพ้นไปแล้ว และมันจะไม่หวนกลับมาอีกเป็นครั้งที่สอง
Translate by : Ministry of INFINITY
Book : 花様年華 The Notes 1 Japanese version